วันอาทิตย์ที่ 11 เมษายน พ.ศ. 2553

E-Media สำหรับชั้นมัธยมศึกษาตอนปลาย

E-Media สำหรับชั้นมัธยมศึกษาตอนปลาย


การสังเคราะห์ด้วยแสงแบบบูรณาการ
ดีเอ็นเอ : เจ้าชีวิต
การหายใจ
นิเวศวิทยาและสิ่งแวดล้อม

ท่องไปในโลกของกล้ามเนื้อ

ไฟฟ้าเคมีเชิงบูรณาการ
ไฟฟ้าแม่เหล็ก
คอมพิวเตอร์น่ารู้
อุปกรณ์วัดปริมาตรและเครื่องชั่ง

ไขปริศนาพฤกษาพรรณ
ไอโอดีน กับสติปัญญา
วิทยาศาสตร์ พื้นพิภพ
อะไรอยู่ในอะตอม
สีและแสง...การดูดกลืน
มหัศจรรย์""นาโน
ตรรกศาสตร์เบื้องต้น

150 ปี ชาร์ลส์ ดาร์วิน วิวัฒนาการของสัตว์และพืช
พอลิเมอร์

ดาวน์โหลด CAI

เกมภาษาไทย
เกมภาษาไทย I (16/07/08 - 3.53 MB)แบบฝึกซ่อมเสริมการอ่านและการเขียนภาษาไทย ช่วงชั้นที่ 1 (ชั้นประถมศึกษาปีที่ 2) ด้วยวิธีให้นักเรียนดูภาพ แล้วประสมคำให้ถูกต้อง โดยพิมพ์ลงในช่องคำตอบ สร้างด้วยโปรแกรม Authorware

เกมภาษาไทย II (08/08/08 - 5.27 MB)แบบฝึกซ่อมเสริมการอ่านและการเขียนภาษาไทย ช่วงชั้นที่ 1 (ชั้นประถมศึกษาปีที่ 2) ด้วยวิธีให้นักเรียนฟังเสียงพยัญชนะ แล้วคลิกเลือกภาพให้ตรงกับเสียง สร้างด้วยโปรแกรม Authorware

บทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอน เรื่อง เรารักการอ่าน (01/08/08 - 2.89 MB)โดย นางสุดารัตน์ รัตนแสงศรีโรงเรียนท่าบ่อ อำเภอท่าบ่อ จังหวัดหนองคายสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาหนองคาย เขต 1พัฒนาโดย โคนันคุง

พอลิเมอร์ (18/08/08)บทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอน วิชาวิทยาศาสตร์พื้นฐาน ว41183 เรื่อง พอลิเมอร์ สำหรับนักเรียนชั้น ม.4โดย ครูรุ่งฤดี มโนรัตน์โรงเรียนกำแพงเพชรพิทยาคมสร้างด้วยโปรแกรม Flash

บทเรียนสื่อคณิตศาสตร์ ชั้นประถมศึกษาปีที่ 1-6 (16/07/08 - 123 MB)โดย สำนักเทคโนโลยีเพื่อการเรียนการสอน สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน

http://www.techno.bopp.go.th/สื่อคอมพิวเตอร์สำหรับการเรียนรู้ด้วยตนเอง กลุ่มสาระการเรียนรู้คณิตศาสตร์ ช่วงชั้นที่ 1 และช่วงชั้นที่ 2 ที่กำลังจะทดลองใช้ใน 6 จังหวัด คือ ชุมพร นนทบุรี พระนครศรีอยุธยา กำแพงเพชร นครราชสีมา และกรุงเทพฯ สร้างด้วยโปรแกรม Flash

อินเตอร์เน็ต (Internet)โดย Flash Project TeamThe Library of King Mongkut’s University of Technology Thonburiจากบทเรียน

วิทยาศาสตร์ และเทคโนโลยี เพื่อเยาวชน” สร้างด้วยโปรแกรม Flash

บทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอน เรื่อง คานและโมเมนต์ (17/04/08 - 189.62 KB)โดย วิรัช คุ้มโภคาสื่อ multimedia ใช้สอนรายวิชา ว33101 เรื่อง คานและโมเมนต์ ระดับช่วงชั้นที่ 3 สร้างด้วยโปรแกรม Captivate 2

CAI 8 กลุ่มสาระ
ข้อสอบแบบ 4 ตัวเลือก (16/03/08 - 13.3 MB)
เกมเศรษฐี (16/03/08 - 12.2 MB)
คู่มือการติดตั้ง (16/03/08 - 402 KB)
โดย นายสมหมาย จันทร์เกษครู (คศ.3) โรงเรียนวัดอ่างทอง หมู่ 3 ต.อ่างทอง อ.บรรพตพิสัย จ.นครสวรรค์ 60180สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษานครสวรรค์ เขต 2
การชั่งน้ำหนักในลิฟท์ (13/11/07 - 12.71 KB)โดย วิมล ชัยวิริยะสื่อ Multimedia รายวิชาฟิสิกส์ ระดับชั้นม.4 เรื่อง การชั่งน้ำหนักในลิฟท์ สร้างด้วยโปรแกรม Flash
ผักและผลไม้ (29/10/07 - 6,208 KB)โดย Fairy

การทดลองเกี่ยวกับ Hill Reaction (07/06/07 - 3,501 KB)โดย อ.ดร.รุ่งรัจน์ วังศพ่าห์โดยการสนับสนุนจากโครงการจัดทำสื่อการสอน ภาควิชาชีววิทยา คณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ สร้างด้วยโปรแกรม Flash
รายวิชา อักษรยาวี 1โดย อ.กามารุดดิน อิสายะ

วันอังคารที่ 6 เมษายน พ.ศ. 2553

การประเมินผลตามระบบการวัดผล

การประเมินผลตามระบบการวัดผล
1. การวัดแบบอิงกลุ่ม
เป็นการประเมินผลเพื่อเปรียบเทียบผลงาน หรือคะแนนของผู้เรียนแต่ละคนกับผู้เรียนคนอื่นๆ ในกลุ่มเดียวกัน โดยใช้งานหรือแบบทดสอบชนิดเดียวกัน จุดมุ่งหมายเพื่อจำแนกหรือจัดลำดับบุคคลในกลุ่มนั้น ๆ ตามความสามารถสูงสุด จนถึงต่ำสุด
2. การวัดแบบอิงเกณฑ์
เป็นการประเมินผลเพื่อเปรียบเทียบกับเกณฑ์ที่กำหนดขึ้น เพื่อดูว่างานหรือการสอบของผู้ที่มาเรียนนั้นผ่านที่กำหนดไว้หรือไม่ โดยไม่คำนึงคนอื่น ๆ ที่อยู่ในกลุ่มเดียวกันดังนั้น การวัดและการประเมินผลเป็นภารกิจที่สำคัญของผู้สอนอย่างหนึ่งในกระบวนการเรียนการสอนที่ทำให้ทราบว่า กระบวนการเรียนการสอนดำเนินไปบรรลุจุดประสงค์หรือไม่ และข้อสอบนั้นสามารถพัฒนาการเรียนรู้ของผู้เรียนได้มากน้อยเพียงใด การปรับปรุงแก้ไขสิ่งใดบ้าง เพราะการวัดผลนั้นคือ กระบวนการรวบรวมข้อมูลที่ได้มาเป็นตัวเลข จำนวนหรือปริมาณใดปริมาณหนึ่ง โดยอาศัยเครื่องมือหรือวิธีการต่าง ๆ ส่วนการประเมินผลนั้น คือกระบวนการที่นำเอาผลที่ได้จากการวัดนั้นมาประเมินคุณค่าโดยพิจารณาอย่างมีเกณฑ์ และมีจุดประสงค์ของการวัดและการประเมินผลที่แน่นอนชัดเจน โดยอาศัยเครื่องมือและเทคนิคที่
เหมาะสม และได้มาตรฐานเช่นเดียวกัน

ข้อดีและข้อจำกัดของแบบทดสอบแบบอัตนัย หรือความเรียง และแบบทดสอบแบบปรนัย

ข้อดีและข้อจำกัดของแบบทดสอบแบบอัตนัย หรือความเรียง และแบบทดสอบแบบปรนัย

แบบทดสอบแบบอัตนัย / แบบความเรียง
1. ผู้สอบมีจำนวนไม่มากนัก
2. ต้องการสอบวัดความสามารถที่ซับซ้อน
3. ต้องการส่งเสริมทักษะเชิงความคิดและการแสดงออก
4. ผู้สอบต้องมีความสามารถในการเขียนและทักษะทางภาษาดี
5. ต้องการวัดทักษะและความรู้สึกนึกคิดอื่นด้วย นอกจากวัดผลสัมฤทธิ์
6. มีเวลาออกข้อสอบน้อย แต่มีเวลาตรวจข้อสอบมาก

แบบทดสอบแบบปรนัย
1. ผู้สอบมีจำนวนมาก ๆ
2. ต้องการนำข้อสอบไปวิเคราะห์และเก็บไว้ใช้อีก
3. ต้องการสอบวัดรายละเอียดเนื้อหาย่อย ๆ
4. ไม่ต้องการวัดทักษะและความรู้สึกนึกคิดอื่นนอกจากผลสัมฤทธิ์
5. มีเวลาออกข้อสอบมากและต้องการผลสอบเร็ว

แบบทดสอบที่นิยมใช้ในการเรียนการสอน

แบบทดสอบที่นิยมใช้ในการเรียนการสอน

แบบทดสอบที่ใช้กันอยู่ในการเรียนการสอนนั้นเป็นแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ที่ผู้สอนสร้างขึ้นเอง โดยจำแนกตามลักษณะการตอบเป็น 2 ประเภทใหญ่ ๆ ดังนี้


1. แบบทดสอบแบบอัตนัย หรือความเรียง ( Subjective of Essay Test ) ส่วนมากแล้วขึ้นอยู่กับผู้ตรวจข้อสอบเป็นสำคัญมี 2 แบบดังนี้
- แบบทดสอบแบบจำกัดคำตอบซึ่งจะถามแบบเฉพาะเจาะจง และต้องการคำตอบเฉพาะเรื่อง เช่น จงเปรียบเทียบลักษณะของการปกครองระบอบประชาธิปไตย และการปกครอบระบอบเผด็จการมาอย่างละ 3 ข้อ
- แบบทดสอบแบบไม่จำกักคำตอบหรือแบบขยายความ มีจุดอ่อนอยู่ที่การให้คะแนน เพราะเป็นการยากที่จะหาเกณฑ์ในการให้คะแนนได้ถูกต้องและชัดเจน เนื่องจากผู้ตอบมีอิสระในการคิดและเขียนโดยเสรี เช่น จงเสนอโครงการในการพัฒนาบุคลิกภาพของนักศึกษาคณะวิทยาศาสตร์ให้มีบุคลิกภาพที่ดีตามความคิดเห็นของท่าน , พุทธศาสนาจะช่วยพัฒนาสังคมได้อย่างไร จงอธิบายพร้อมให้เหตุผลประกอบ


2. แบบทดสอบแบบปรนัย ( Objective Test ) มี 4 ประเภท ได้แก่
- แบบถูกผิด (true – false)
- แบบเติมคำ (completion)
- แบบจับคู่ (matching)
- แบบเลือกตอบ (multiple choices)
2.1 แบบถูกผิด (true – false)
ตัวอย่าง จงใส่เครื่องหมาย ถูก หน้าข้อความที่เห็นว่าถูกและใส่เครื่องหมาย ผิด หน้าข้อความที่เห็นว่าผิด
.................. 1. ประเทศไทยไม่เคยเป็นเมืองขึ้นของใคร
.................. 2. ประเทศไทยมีระบอบการปกครองแบบประชาธิปไตย

2.2 แบบเติมคำ (completion)
ตัวอย่าง
1. การวัดผล คือ ................................................
2. ข้อสอบที่ใช้เวลาในการเขียนนานที่สุด คือ ..............................................

2.3 แบบจับคู่ (matching)
ตัวอย่าง คำชีแจง จงพิจารณาว่าเหตุการณ์ต่าง ๆ ( ขวามือ ) เกิดขึ้นในสมันใด ( ซ้ายมือ ) โดยนำตัวอักษร
หน้ารัชสมัยไปเติมด้านหน้าเหตุการณ์ต่าง ๆ
.................... 1. สงคราม 9 ทัพ ก. รัชกาลที่ 1
.................... 2. การเลิกทาส ข. รัชกาลที่ 2
.....................3. การมีกฎหมายตรา 3 ดวง

2.4 แบบเลือกตอบ (multiple choices)


2.4.1 แบบคำถามโดด ( Single question ) คำถามจะถามเพียงเรื่องเดียว ไม่เกี่ยวกับข้ออื่น ๆ ได้แก่
- ให้หาคำตอบถูก

-- ถูกต้องแน่นอน, ถูกต้องที่สุด ( คำตอบที่ดีที่สุด )
- ชนิดให้เรียงลำดับ
- ชนิดคำตอบรวม
ตัวอย่าง ต้นอ่อนเจริญมาจากส่วนใดของพืช

ก. ใบ
ข. ผล
ค. ราก
ง. ตา

2.4.2 แบบตัวเลือกคงที่ ( Constant choice ) เป็นการรวม เนื้อหาที่เป็นพวกเดียวกันเข้าด้วยกัน แล้วตั้งคำถามเป็นชุด
ตัวอย่าง
ให้พิจารณาข้อความแต่ละข้อว่าผิดศีล ข้อใด โดยใช้ตัวเลือกต่อไปนี้
ก. ศีลข้อที่ 1 ข. ศีลข้อที่ 2 ค. ศีลข้อที่ 3 ง. ศีลข้อที่ 4 จ. ศีลข้อที่ 5
1. มาทำงานสาย
2. รับซื้อของโจร
3. หลบเลี่ยงภาษี

2.4.3 แบบถามตามเนื้อเรื่องที่กำหนดให้ ( Situation ) เป็นการยกข้อความหรือสถานการณ์ที่เกี่ยวกับจุดประสงค์การเรียนการสอนให้ผู้ตอบอ่านและตอบคำถาม
ตัวอย่าง จงอ่านข้อความข้างล่างนี้แล้วตอบคำถามข้อ 1 – 2
“ สังคมใดตาม ถ้ามีแต่คนที่คำนึงถึงสิทธิของตนไม่ใฝ่ใจในหน้าที่ที่ต้องปฏิบัติ หรือปฏิบัติผิดหน้าที่และเกิดสิทธิของตน เพื่อประโยชน์ส่วนตัว สังคมนั้นจะดำรงอยู่ไม่ได้ ”
1. ข้อความนี้เป็นคำกล่าวลักษณะใด
ก. การขอร้อง ข. การวิงวอน ค. การประชด ง. การตักเตือน จ. การเปรียบเทียบ


ลักษณะของข้อสอบและแบบทดสอบที่ดี

ลักษณะของข้อสอบและแบบทดสอบที่ดี

ข้อสอบแต่ละชนิดนั้นแต่ละประเภทมีคุณสมบัติที่ดีเฉพาะตัว และมีความเหมาะสมในการนำไปใช้ทดสอบผลการเรียนรู้แตกต่างกันไป ดังนั้นข้อสอบและแบบทดสอบที่นำมาใช้ควรมีลักษณะที่ดีโดยทั่ว ๆ ไปดังนี้
1. มีความเที่ยงตรง ( Validity )
- มีความครอบคลุมครบถ้วน และจุดประสงค์เชิงพฤติกรรมที่ต้องการให้วัดหรือไม่
- มีความเที่ยงตรงเชื่อถือได้ และควรมีความตรง 3 ประเภทดังนี้
1. ความตรงตามเนื้อหา 2. ความตรงตามเกณฑ์ 3. ความตรงตามโครงสร้าง
2. มีความเชื่อถือได้ ( Reliability )
การทดสอบข้อสอบที่เชื่อถือได้โดยการให้นักเรียนกลุ่มเดิมหรือคนเดิมทำข้อสอบ ชุดเดิมหลาย ๆ ครั้ง หากผลคะแนนออกมาใกล้เคียงเดิมหรือได้เท่าเดิม แสดงว่าข้อสอบนั้น เชื่อถือได้
3. มีระดับความยากง่าย ( Difficulty Index )
พิจารณาได้จากจำนวนนักเรียนทำข้อสอบได้ถูก และทำไม่ถูกอย่างละประมาณ ครึ่งหนึ่งของนักเรียนทั้งหมด ถือว่าข้อสอบนั้นมีระดับความยากที่พอเหมาะ ทั้งนี้ต้องออกข้อสอบให้เหมาะกับความสามารถในแต่ละระดับชั้นของนักเรียนด้วย
4. มีอำนาจจำแนก ( Discrimination Power )
สามารถแยกแยะนักเรียนกลกุ่มที่เรียนเก่ง เรียนปานกลาง และเรียนอ่อน ออกจากกันได้
5. มีความเป็นปรนัย ( Objectivity )
- ความถูกต้องทางวิชาการ
- การให้คะแนน จะต้องมีเกณฑ์การตรวจให้คะแนน ไม่ให้คะแนนตามอารมณ์ผู้ตรวจ
- ภาษาที่ใช้ต้องชัดเจน
6. มีความหมายในการทดสอบ ( MeaningfuIness )
ในการวัดผู้เรียนเก่งควรทำข้อสอบได้ถูก ผู้ที่เรียนไม่เก่งควรตอบผิด มีการตั้งคำถามความหมายที่แน่นอน วัดได้ชัดเจน ไม่ใช่คำถามที่ตอบได้หลากหลายแบบ
7. สามารถนำไปใช้ได้ ( Usability )
- ดำเนินการสอบได้ง่าย คือ นำไปใช้ได้ง่าย สะดวก ไม่ยุ่งยากซับซ้อน
- ใช้เวลาสอบเหมาะสม คือ ใช้เวลาทำข้อสอบไม่สั้นหรือยาวเกินไป
- ให้คะแนนได้ง่าย
- แปลผลและนำไปใช้ได้สะดวก
- สามารถสร้างข้อสอบคู่ขนานหรือข้อสอบเปรียบเทียบได้
- ประหยัดค่าใช้จ่ายในการสอบ

การวัดผลโดยเน้นผู้เรียนเป็นสำคัญ

การวัดผลโดยเน้นผู้เรียนเป็นสำคัญ
การวัดผลและการประเมินผล

การวัดและการประเมินผลเป็นภารกิจที่สำคัญอย่างหนึ่งสำหรับผู้สอน ด้วยเหตุผลที่ว่าการวัดและการประเมินผลจะเป็นวิธีการที่ประเมินความรู้ ความสามารถของผู้เรียน ตลอดจนใช้เป็นวิธีการในการตรวจสอบการปฏิบัติงานของผู้สอนได้ว่า ได้ดำเนินการสอนให้เป็นไปตามเป้าหมาย หรือจุดประสงค์ที่กำหนดไว้หรือไม่ ดังนั้นผู้สอนจึงจำเป็นต้องมีความรู้ ความเข้าใจและสามารถดำเนินการวัดและประเมินผลได้เป็นอย่างดี

ความหมายการวัดและประเมินผล ( Measurement And Evaluation )
การวัด ( Measurement ) หมายถึง กระบวนการเชิงปริมาณในการกำหนดค่าเป็นตัวเลข หรือสัญลักษณ์ที่มีความหมายแทนคุณลักษณะของสิ่งที่วัด โดยอาศัยกฏเกณฑ์อย่างใดอย่างหนึ่ง เช่น เด็กหญิงสมพร สอบวิชาภาษาไทยได้ 30 คะแนน
การประเมินผล ( Evaluation ) หมายถึง การตัดสินเกี่ยวกับคุณภาพหรือคุณค่าของวัตถุ สิ่งของ โครงการการศึกษาพฤติกรรมการทำงานของคนงาน หรือความรู้ความสามารถของนักเรียน

ลักษณะการวัดและการประเมินผลทางการศึกษา สามารถอธิบายให้เข้าใจได้ดังนี้ การประเมินผลทางการศึกษา หมายถึง กระบวนการอย่างมีระบบที่จะตรวจสอบดูว่าผู้เรียนได้บรรลุถึงจุดประสงค์ที่ส่งไว้หรือไม่ การประเมินผลเป็นการตีค่าของสิ่งที่วัด การสร้างข้อสอบ ตรวจให้คะแนน เป็น การวัด แต่การบอกว่าผู้เรียนคนใดเก่งหรืออ่อนปานใด หรือได้เกรดอะไรเป็น การประเมินผล

ความแตกต่างระหว่างการวัดและการประเมินผล สามารถอธิบายได้ดังนี้
การนำสายวัดไปวัดผ้าผืนหนึ่งได้ 5 เมตร การกระทำการเช่นนี้เรียกว่าการวัด แต่ถ้าบอกว่าผ้าผืนนี้ยาวไม่พอที่จะนำมาคลุมรถบรรทุกสินค้า การบอกเช่นนี้เรียกว่า การประเมินผล

จุดประสงค์ของการวัดและการประเมินผล
1. เพื่อจัดประเภทหรือจัดตำแหน่ง ( Placement ) เป็นการวัดและการประเมินผลโดยใช้เครื่องมือต่าง ๆ เพื่อจัด หรือแบ่งประเภทผู้เรียนแต่ละคนว่ามีความสามารถอยู่ในระดับใดของกลุ่ม เช่น เก่ง ปานกลาง หรืออ่อน เช่น การสอบวัดระดับภาษาอังกฤษเพื่อจุดกลุ่มในการเรียน
2. เพื่อวินิจฉัย ( Diagnosis ) มันใช้ใส่ทางการแพทย์ โดยเมื่อแพทย์ตรวจแล้วจะต้องวินิจฉัยว่าผู้ป่วยเป็นโรคอะไร หรือสาเหตุที่ผู้ป่วยมีอาการไม่สบายมาจากอะไร
3. เพื่อเปรียบเทียบ ( Assessment ) ใช้ในการเปรียบเทียบพัฒนาการของผู้เรียนว่ามีมากน้อยอย่างไร เช่น การสอบก่อนเรียน และหลังเรียน ( Pretest – Posttest )
4. เพื่อพยากรณ์ ( Perdiction ) เป็นการวัดความถนัดหรือจำแนกความแตกต่างของผู้เรียนเพื่อใช้เป็นข้อมูลในการช่วยพยากรณ์ หรือคาดการณ์และแนะนำผู้เรียนว่าควรจะเรียนอย่างไร
5. เพื่อเป็นข้อมูลป้อนย้อนกลับ ( Feedback ) เป็นการทดสอบว่าเรื่องใดที่ผู้เรียนเรียนไปแล้วเข้าใจชัดเจน และเรื่องใดที่ยังไม่เข้าใจจะได้ทำการสอนเพิ่มเติมหรือย้ำได้
6. การเรียนรู้ ( Learning Experience ) วัดเพื่อกระตุ้นในรูปแบบต่าง ๆ ให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้และกระบวนการเรียนรู้ที่ดี ของผู้เรียน

ประโยชน์ของการวัดปละการประเมิน
ประโยชน์ต่อผู้สอน
- ทราบพัฒนาการหรือปริมาณความงอกงามของผู้เรียนในด้านต่าง ๆ เช่น ด้านสังคม และสติปัญญา เป็นต้น
- ช่วยในการคิดเลือกเทคนิควิธีการสอน และประสบการณ์ ตลอดจนกิจกรรมที่เหมาะสมกับผู้เรียน
- ช่วยในการจัดตำแหน่งต่าง ๆ เพื่อปกครองนักเรียนให้มีคุณภาพ เช่น การจัดชั้นเรียนการเลื่อนชั้น การจัดกลุ่มผู้เรียน

ประโยชน์ต่อผู้เรียน
- ช่วยในการกระตุ้นและสร้างแรงจูงใจในการเรียนรู้ของผู้เรียนได้เป็นอย่างดี
- ช่วยให้ผู้เรียนทราบถึงความสามารถของตนเองว่ามีความสามารถอย่างไร และควรปรับปรุงอย่างไรบ้าง
- ช่วยให้ผู้เรียนเห็นคุณค่าและทราบถึงจุดประสงค์ของการศึกษาเนื้อหานั้น ๆ มากยิ่งขึ้น
- ช่วยให้ผู้เรียนสร้างกระบวนการเรียนได้ ถูกต้อง และได้รู้จักภาคภูมิใจในตนเองมากขึ้น

เครื่องมือและเทคนิควิธีที่ใช้ในการวัดและประเมินผล
เครื่องมือและเทคนิควิธีที่ใช้การวัดและประเมินผลการเรียนการสอนนั้น มีมากมายหลายชนิด แต่ที่รู้จักและนิยมใช้กันเป็นส่วนมาก ได้แก่
1. การสังเกต ( Direct Observation )
2. การสัมภาษณ์ ( Interviewing )
3. การให้ปฏิบัติ ( Performance Test )
4. การศึกษากรณี ( Case Study )
5. การให้จินตนาการ ( Projective Technique )
6. การใช้แบบสอบถาม ( Qusetionnaire )
7. การทดสอบ ( Testing )

ตัวบ่งชี้การจัดกิจกรรมการเรียนการสอนแบบผู้เรียนเป็นศูนย์กลาง

ตัวบ่งชี้การจัดกิจกรรมการเรียนการสอนแบบผู้เรียนเป็นศูนย์กลาง

เมื่อครูจัดการเรียนการสอนและประเมินผลแล้ว และมีความประสงค์จะตรวจสอบว่าได้ดำเนินการมาถูกต้องตามหลักการจัดการเรียนการสอนแบบศูนย์กลางหรือไม่ ครูสามารถตรวจสอบด้วยตนเอง โดยใช้เกณฑ์มาตรฐาน ซึ่งมีตัวบ่งชี้ดังต่อไปนี้

1. มีการจัดกิจกรรมการเรียนการสอนที่หลากหลาย เหมาะสมกับธรรมชาติของผู้เรียน
2. มีการจัดกิจกรรมการเรียนการสอนให้ผู้เรียนฝึกค้นคว้า สังเกตรวบรวมข้อมูล วิเคราะห์คิดอย่างหลากหลาย สร้างสรรค์และสามารถสร้างองค์ความรู้ด้วยตนเอง
3. มีการจัดกิจกรรมการเรียนการสอนที่กระตุ้นให้ผู้เรียนรู้จักศึกษาหาความรู้และแสวงหาคำตอบด้วยตนเอง
4. มีการนำภูมิปัญญาท้องถิ่น เทคโนโลยีและสื่อที่เหมาะสมมาประยุกต์ใช้ในการจัดการเรียนการสอน
5. มีการจัดกิจกรรมเพื่อฝึกและส่งเสริมคุณธรรมและจริยธรรมของผู้เรียน
6. มีการจัดกิจกรรมการเรียนการสอนที่ให้ผู้เรียนได้รับการพัฒนาสุนทรียภาพอย่างครบถ้วนทั้งด้านดนตรี ศิลปะและกีฬา
7. ส่งเสริมความรู้เป็นประชาธิปไตยในการทำงานร่วมกับผู้อื่นและมีความรับผิดชอบต่อกลุ่ม
8. มีการประเมินพัฒนาการของผู้เรียนด้วยวิธีการที่หลากหลายและต่อเนื่อง
9. ผู้เรียนรักโรงเรียนของตนและมีความกระตือรือร้นในการไปโรงเรียน

สรุปว่าการจัดการเรียนการสอนแบบผู้เรียนเป็นศูนย์กลาง คือ การจัดการให้ผู้เรียน สร้างความรู้ใหม่โดยผ่านกระบวนการคิดด้วยตนเอง ทำให้ผู้เรียนได้เรียนรู้ด้วยการลงมือปฏิบัติเกิดความเข้าใจ และสามารถนำความรู้ไปบูรณาการใช้ในชีวิตประจำวันและมีคุณสมบัติตรงกับเป้าหมายของการจัดการศึกษาที่ต้องการให้ผู้เรียนเป็นคนเก่ง คนดี และมีความสุขกาย และใจ

การประเมินผลตามสภาพจริง



การประเมินผลตามสภาพจริง
การประเมินผลเป็นกระบวนการสำคัญที่มีส่วนเสริมสร้างความสำเร็จให้กับผู้เรียนและเป็นส่วนหนึ่งของกระบวนการจัดการเรียนการสอน การสอนและการประเมินผลจำเป็นต้องมีลักษณะสอดคล้องกัน และดำเนินควบคู่กันไป ดังนั้นเมื่อการเรียนการสอนแบบผู้เรียนเป็นศูนย์กลางมีลักษณะเป็นการเรียนรู้ที่แท้จริง ( Authentic learning ) จึงต้องทำการประเมินผลตามสภาพจริง ( Authentic assessment )

การประเมินตามสภาพจริง มีความหมายดังนี้
1. เป็นวิธีการที่สามารถค้นหาความสามารถและความก้าวหน้าในการเรียนรู้ที่แท้จริงของผู้เรียน ข้อมูลที่ได้สามารถนำมาใช้ประกอบการตัดสินผลการเรียนรู้ของผู้เรียน
2. เป็นการประเมินเชิงคุณภาพอย่างต่อเนื่องในด้านความรู้ ความคิด พฤติกรรม วิธีการปฏิบัติ ผลการปฏิบัติ และเจตคติของผู้เรียน


ในการประเมินผลครูต้องนำสิ่งที่ต้องการประเมินมาผสมผสานแล้วเลือกวิธีประเมินให้เหมาะสม ไม่มีวิธีประเมินผลวิธีเดียวที่สามารถประเมินผู้เรียนได้ทุกด้าน วิธีประเมินผลสามารถแบ่งได้ 4 วิธี ดังนี้
1. การใช้แบบทดสอบแบบคำตอบมีตัวเลือก ( Selected response ) แบบทดสอบนี้ มีลักษณะเป็นคำถามที่มีหลายคำตอบ ให้ผู้เรียนเลือกคำตอบที่ดีที่สุด ตัวบ่งชี้ผลสัมฤทธิ์ คือ จำนวนหรืออัตราส่วนของคำถามและคำตอบที่ถูกต้อง
2. การใช้แบบทดสอบแบบอัตนัย ( Essay ) แบบทดสอบอาจเป็นคำถาม การให้อธิบายถึงการแก้ปัญหา การเปรียบเทียบเหตุการณ์หรือการตีความข้อมูลทางวิทยาศาสตร์ ผู้เรียนจะต้องรวบรวมข้อมูลแล้วเขียนเป็นคำตอบที่แสดงมโนทัศน์ของเรื่องนั้น ตัวบ่งชี้ผลสัมฤทธิ์ คือ จำนวนคะแนนที่ได้รับจากคะแนนเต็ม
3. การแสดงพฤติกรรม ( Performance ) ผู้เรียนทำกิจกรรมที่กำหนด โดยมีครูคอยสังเกตกระบวนการการใช้ทักษะต่าง ๆ หรือประเมินจากผลผลิตซึ่งสะท้อนให้เห็นว่าผู้เรียน มีทักษะในการผลิตอย่างมีคุณภาพ เช่น รายงาน นิทรรศการทางวิทยาศาสตร์ หรืองานประดิษฐ์ ตัวบ่งชี้ผลสัมฤทธิ์ คือ การจัดระดับ ( Rating ) คุณภาพของพฤติกรรมหรือผลผลิต
4. การสื่อความหมายระหว่างครู และผู้เรียน ( Personal Communication ) ครูอาจใช้วิธีถามคำถามระหว่างสอน สัมภาษณ์ สนทนา ประชุม ฟังการอภิปรายของผู้เรียน หรือสอบปากเปล่า


ผลของการประเมินจะเกิดประโยชน์เมื่อการประเมินผลมีคุณภาพสูง คุณภาพหมายถึงสิ่งต่อไปนี้
• สิ่งที่ประเมินชัดเจน
• วิธีการเหมาะสม
• การเป็นตัวแทนและอ้างอิงได้
• มีความเที่ยงตรงปราศจากอคติและการบิดเบือน

หลักการจัดการเรียนการสอนแบบผู้เรียนเป็นศูนย์กลาง : โมเดลซิปปา ( CIPPA Model )

หลักการจัดการเรียนการสอนแบบผู้เรียนเป็นศูนย์กลาง : โมเดลซิปปา ( CIPPA Model )

หลักการจัดการเรียนการสอนโมเดลซิปปา เป็นหลักที่นำมาใช้จัดการเรียนการสอนแบบผู้เรียนเป็นศูนย์กลาง เสนอแนวคิดโดย รองศาสตราจารย์ ดร. ทิศนา แขมมณี อาจารย์ประจำภาควิชาประถมศึกษา คณะครุศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย มีจุดเน้นที่การจัดกิจกรรมการเรียนการสอนให้ผู้เรียนมีส่วนร่วมทั้งทางร่างกาย สติปัญญา สังคม และอารมณ์

หลักการจัดของโมเดลซิปปา มีองค์ประกอบที่สำคัญ 5 ประการ ได้แก่

C มาจากคำว่า Construct หมายถึง การสร้างความรู้ ตามแนวคิด การสรรค์สร้างความรู้ได้แก่ กิจกรรมที่ช่วยให้ผู้เรียนมีโอกาสสร้างความรู้ด้วยตนเอง ซึ่งทำให้ผู้เรียนเข้าใจและเกิดการเรียนรู้ที่มีความหมายต่อตนเองกิจกรรมนี้ช่วยให้ผู้เรียนมีส่วนร่วมทางสติปัญญา

I มาจากคำว่า Interaction หมายถึง การปฏิสัมพันธ์กับบุคคลและสิ่งแวดล้อมรอบตัว ได้แก่ กิจกรรมที่ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้จากการเข้าไปมีปฏิสัมพันธ์กับบุคคล เช่น ครู เพื่อน ผู้รู้ หรือมีปฏิสัมพันธ์กับสิ่งแวดล้อม เช่น แหล่งความรู้ และสื่อประเภทต่าง ๆ กิจกรรมนี้ ช่วยให้ผู้เรียนมีส่วนร่วมทางสังคม

P มาจากคำว่า Physical Participation หมายถึง การมีส่วนร่วมทางกาย ได้แก่ กิจกรรมที่ให้ผู้เรียนมีโอกาสเคลื่อนไหวร่างกายในลักษณะต่าง ๆ

P มาจากคำว่า Process Learning หมายถึง การเรียนรู้กระบวนการต่าง ๆ ที่เป็นทักษะที่จำเป็นต่อการดำรงชีวิต ได้แก่ กิจกรรมที่ให้ผู้เรียนทำเป็นขั้นตอนจนเกิดการเรียนรู้ ทั้งเนื้อหาและกระบวนการ กระบวนการที่นำมาจัดกิจกรรม เช่น กระบวนการคิด กระบวนการแก้ปัญหา กระบวนการกลุ่ม กระบวนการแสวงหาความรู้ เป็นต้น กิจกรรมนี้ช่วยให้ผู้เรียนมีส่วนร่วมทางสติปัญญา

A มาจากคำว่า Application หมายถึง การนำความรู้ที่ได้เรียนรู้ไปประยุกต์ใช้ในสถานการณ์ต่าง ๆ ได้แก่ กิจกรรมที่ให้โอกาสผู้เรียนเชื่อมโยงความรู้ทางทฤษฎีไปสู่การปฏิบัติที่เป็นประโยชน์ในชีวิตประจำวัน กิจกรรมนี้ช่วยให้ผู้เรียนมีส่วนร่วมในการเรียนรู้ได้หลายอย่างแล้วแต่ลักษณะของกิจกรรม

ขั้นตอนการจัดกิจกรรมการเรียนการสอนตามหลักโมเดลซิปปา
โมเดลซิปปามีองค์ประกอบสำหรับการจัดการเรียนการสอนที่สำคัญ 5 ประการ ครูสามารถเลือกรูปแบบ วิธีสอน กิจกรรมใดก็ได้ที่สามารถทำให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้ตามองค์ประกอบทั้ง 5 อีกทั้งการจัดกิจกรรมก็สามารถจัดลำดับองค์ประกอบใดก่อนหลังได้เช่นกัน และเพื่อให้ครูที่ต้องการนำหลักการของโมเดลซิปปาไปใช้ได้สะดวกขึ้น รองศาสตราจารย์ ดร. ทิศนา แขมมณี จึงจัดขั้นตอนการสอนเป็น 7 ขั้น ดังนี้

1. ขั้นทบทวนความรู้เดิม เพื่อช่วยให้ผู้เรียนมีความพร้อมในการเชื่อมโยงความรู้ใหม่กับความรู้เดิมของตน
กิจกรรมในขั้นนี้ ได้แก่ การสนทนาซักถามให้ผู้เรียนบอกสิ่งที่เคยเรียนรู้ การให้ผู้เรียนเล่าประสบการณ์เดิม หรือการให้ผู้เรียนแสดงโครงสร้างความรู้ ( Graphic Organizer ) เดิมของตน


2. ขั้นแสวงหาความรู้ใหม่ เพื่อให้ผู้เรียนหาความรู้เพิ่มเติมจากแหล่งความรู้ต่าง ๆ


3. ขั้นศึกษาทำความเข้าใจความรู้ใหม่ และเชื่อมโยงความรู้ใหม่กับความรู้เดิม เพื่อให้ผู้เรียนสร้างความหมายของข้อมูลหรือประสบการณ์ใหม่ สรุปความเข้าใจแล้วเชื่อมโยงกับความรู้เดิม

กิจกรรมในขั้นนี้ ได้แก่ การให้ผู้เรียนใช้กระบวนการต่าง ๆ ด้วยตนเอง เช่น กระบวนการคิด กระบวนการกลุ่มหรือกระบวนการแก้ปัญหา สร้างความรู้ขึ้นมา


4. ขั้นแลกเปลี่ยนความรู้ความเข้าใจกับกลุ่ม เพื่ออาศัยกลุ่มเป็นเครื่องมือในการตรวจสอบความรู้ความเข้าใจ และขยายความรู้ความเข้าใจของตนให้กว้างขึ้น

กิจกรรมนี้ ได้แก่ การให้ผู้เรียนแต่ละคนแบ่งปันความรู้ความเข้าใจให้ผู้อื่นรับรู้และให้กลุ่มช่วยกันตรวจสอบความรู้ความเข้าใจซึ่งกันและกัน


5. ขั้นสรุปและจัดระเบียบความรู้ เพื่อให้ผู้เรียนจดจำสิ่งที่เรียนรู้ได้ง่าย

กิจกรรมนี้ ได้แก่ การให้ผู้เรียนสรุปประเด็นสำคัญ ประกอบด้วย มโนทัศน์หลักและมโนทัศน์ย่อย ของความรู้ทั้งหมด ทั้งความรู้เดิมและความรู้ใหม่แล้วนำมารวบรวมเรียบเรียงให้ได้ใจความสาระสำคัญครบถ้วน สะดวกแก่การจดจำ ครูอาจให้ผู้เรียนจัดเป็นโครงสร้างความรู้ ( Graphic Organizer ) ซึ่งเป็นวิธีการที่ช่วยในการจดจำข้อมูลได้ง่าย


6. ขั้นแสดงผลงาน เพื่อให้โอกาสผู้เรียนได้ตรวจสอบความรู้ความเข้าใจของตนด้วยการได้รับข้อมูลย้อนกลับจากผู้อื่น

กิจกรรมนี้ ได้แก่ การให้ผู้เรียนแสดงผลงานการสร้างความรู้ของตนด้วยวิธีการ ต่าง ๆ เช่น จัดนิทรรศการ จัดการอภิปราย แสดงบทบาทสมมติ เขียนเรียงความ วาดภาพ แต่งคำประพันธ์ เป็นต้น และอาจมีการจัดประเมินผลงานโดยใช้เกณฑ์ที่เหมาะสม


7. ขั้นประยุกต์ใช้ความรู้ เพื่อฝึกฝนให้ผู้เรียนนำความรู้ไปใช้ในสถานการณ์ต่าง ๆ ให้เกิดความเข้าใจ และความชำนาญ

กิจกรรมนี้ ได้แก่ การที่ครูให้ผู้เรียนมีโอกาสแสดงวิธีใช้ความรู้ให้เป็นประโยชน์ในเรื่องต่าง ๆ ซึ่งเท่ากับส่งเสริมให้ผู้เรียนมีความคิดสร้างสรรค์ ในระยะแรกครูอาจตั้งโจทย์สถานการณ์ต่าง ๆ แล้วให้ผู้เรียนนำความรู้ที่มีมาใช้ในสถานการณ์นั้น

ที่มา
http://www.arts.ac.th

การจัดการเรียนการสอนแบบผู้เรียนเป็นศูนย์กลาง

การจัดการเรียนการสอนแบบผู้เรียนเป็นศูนย์กลาง
โดยผศ.ดร.ชนาธิป พรกุล คณะครุศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย

นับตั้งแต่มีการประกาศใช้พระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ เมื่อเดือนสิงหาคม 2542 เป็นต้นมา ทำให้เกิดความเคลื่อนไหวในการปฏิรูปการศึกษา เพราะเป็นสภาพบังคับของกฎหมายที่ผู้บริหารสถานศึกษาต้องเร่งพัฒนาคุณภาพของตน ให้เป็นผู้นำในการดำเนินการปฏิรูปการเรียนรู้ของครู ส่วนครูต้องมีความสามารถในการจัดการเรียนการสอนตามแนวทางที่เน้นผู้เรียนเป็นศูนย์กลาง เพื่อพัฒนาผู้เรียนให้สามารถคิดวิเคราะห์ สังเคราะห์ความรู้ได้มีความคิดสร้างสรรค์ มีทักษะการแสวงหาความรู้ด้วยตนเอง และพัฒนาตนเองอย่างต่อเนื่อง ปัจจุบันจึงเกิดคำถามขึ้นว่ากระบวนการจัดการเรียนการสอนแบบผู้เรียนเป็นศูนย์กลางคืออะไร มีหลักการอย่างไร จะปฏิบัติอย่างไร ครูและผู้เรียนมีบทบาทอย่างไร รู้ได้อย่างไรว่าที่ทำอยู่ถูกหรือไม่ และวิธีประเมินผลแบบเดิมจะยังคงใช้ได้อยูห่ รือไม่ คำถามเหล่านี้ล้วนแต่ชวนให้ครูแสวงหาคำตอบ เพื่อให้ได้
แนวทางที่ชัดเจน สำหรับนำมาจัดกระบวนการเรียนรู้ให้กับผู้เรียนได้อย่างมีประสิทธิภาพ

ความหมายของการจัดการเรียนการสอนแบบผู้เรียนเป็นศูนย์กลาง
ผู้เรียนเป็นศูนย์กลาง หมายถึง ผู้เรียนเป็นคนสำคัญที่สุด ในการจัดการเรียนการสอนแบบผู้เรียนเป็นศูนย์กลาง คือ การให้ผู้เรียนมีบทบาทในการเรียนรู้ โดยการให้ผู้เรียนมีส่วนร่วมในกิจกรรมการเรียนรู้มากที่สุด
กิจกรรมการเรียนรู้ คือ งานที่ผู้เรียนทำแล้วเกิดการเรียนรู้ในเรื่องใดเรื่องหนึ่งโดยแสดงเป็นพฤติกรรมที่ครูกำหนดไว้ในจุดประสงค์การเรียนรู้ กิจกรรมการเรียนรู้ที่ดีควรมีความหลากหลาย เปิดโอกาสให้ผู้เรียนเข้ามามีส่วนร่วมในการเรียนรู้ได้ทุกด้าน

ผู้เรียนสามารถมีส่วนร่วมในกิจกรรมการเรียนรู้ได้ 4 ด้าน ดังนี้
1. ด้านร่างกาย คือ การที่ผู้เรียนใช้ส่วนต่าง ๆ ของร่างกายทำกิจกรรม ผู้เรียนได้เคลื่อนไหวร่างกาย ประสาทการรับรู้ตื่นตัว ทำให้รับข้อมูลได้ดี
2. ด้านสติปัญญา คือ การที่ผู้เรียนใช้สมอง หรือกระบวนการคิดในการทำกิจกรรม
3. ด้านสังคม คือ การที่ผู้เรียนได้ปฏิสัมพันธ์กับผู้อื่นขณะทำกิจกรรม ทำให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้ทักษะทางสังคม
4. ด้านอารมณ์ คือ การที่ผู้เรียนรู้สึกต้องการ และยินดีทำกิจกรรมเพื่อแสวงหาความรู้ที่มีความหมายต่อตนเอง การมีส่วนร่วมด้านอารมณ์มักจะดำเนินควบคู่ไปกับกิจกรรมการเรียนรู้ด้านร่างกาย สติปัญญา และสังคม

แนวคิดของการจัดการเรียนการสอนแบบผู้เรียนเป็นศูนย์กลาง
การจัดการเรียนการสอนแบบผู้เรียนเป็นศูนย์กลาง เป็นการจัดตามแนวทฤษฎีพุทธินิยม( Cognitive theories ) ที่เชื่อว่า การเรียนรู้เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นภายในสมอง เกิดจากกระบวนการกระทำกับข้อมูล มีการบันทึกข้อมูล และดึงข้อมูลออกมาใช้ วิธีเรียนรู้มีผลต่อการจำ การลืม และการถ่ายโอน( Transfer ) ความรู้ แรงจูงใจระหว่างการเรียนรู้มีความสำคัญต่อการชี้นำความสนใจ มีอิทธิพลต่อกระบวนการจัดข้อมูล และส่งผล โดยตรงต่อรูปแบบการเรียนรู้ของผู้เรียน

ปัจจุบันแนวคิดการสรรค์สร้างความรู้ ( Constructivism) ได้รับการยอมรับอย่างแพร่หลายว่ามีความสอดคล้องกับการจัดการเรียนการสอนแบบผู้เรียนเป็นศูนย์กลาง แนวคิดนี้มีความเชื่อว่าความรู้เป็นสิ่งที่มนุษย์สร้างขึ้นด้วยตนเอง สามารถเปลี่ยนแปลงและพัฒนาให้งอกงามขึ้นได้เรื่อย ๆ โดยอาศัยการพัฒนาโครงสร้างความรู้ภายในบุคคล และการรับรู้สิ่งต่าง ๆ รอบตัว

โครงสร้างของความรู้มีองค์ประกอบที่สำคัญ 3 ประการ คือ
1. ความรู้เดิมที่ผู้เรียนมีอยู่
2. ความรู้ใหม่ ที่ผู้เรียนได้รับเป็นข้อมูล ความรู้ ความรู้สึก และประสบการณ์
3. กระบวนการทางสติปัญญา ซึ่งเป็นกระบวนการทางสมองที่ผู้เรียนใช้ทำความเข้าใจกับความรู้ใหม่ และใช้เชื่อมโยงปรับความรู้เดิมและความรู้ใหม่เข้าด้วยกัน

ดังนั้นครูที่จัดการเรียนการสอนแบบผู้เรียนเป็นศูนย์กลางจึงมีความเชื่อว่า ผู้เรียนทุกคนมีความสามารถในการเรียนรู้ และพัฒนาตนเองได้ ผู้สอนไม่จำเป็นต้องบอกความรู้เนื้อหาสาระอีกต่อไป

บทบาทของครูและผู้เรียน
เมื่อการจัดการเรียนการสอนให้ความสำคัญกับผู้เรียน บทบาทหน้าที่ของครูและผู้เรียนจึงเปลี่ยนไป ดังนี้
• ครูมีหน้าที่รับผิดชอบการเรียนรู้ของผู้เรียนโดย
ก่อนสอน ทำการวางแผน เตรียมการ เลือกกิจกรรมการเรียนรู้
ขณะสอน ทำหน้าที่ผู้อำนวยความสะดวก ( Facilitator ) จัดการ แนะนำ สังเกต ช่วยเหลือ เสริมแรง และให้ข้อมูลย้อนกลับ
หลังสอน ทำหน้าที่ประเมินผลการเรียนรู้ของผู้เรียน เพื่อใช้ในการวางแผนการสอนต่อไป หรือตัดสินคุณภาพของผู้เรียน
• ผู้เรียนมีหน้าที่รับผิดชอบการเรียนรู้ของตนเอง โดยเลือกสิ่งที่ต้องการเรียนวางแผนการเรียน เข้าไปมีส่วนร่วมในการเรียน ศึกษาค้นคว้าเรียนรู้ด้วยตนเอง และประเมินผลการเรียนรู้ของตน


ที่มา
http://www.arts.ac.th

การสอนโดยใช้แผนที่ความคิด ( Mind Map )




การสอนโดยใช้แผนที่ความคิด ( Mind Map )

แผนที่ความคิดคืออะไร
แผนที่ความคิด ( Mind Map ) เป็นการนำเอาทฤษฎีที่เกี่ยวกับสมองไปใช้ให้เกิดประโยชน์อย่างสูงสุด การเขียนแผนที่ความคิดเกิดจากการใช้ทักษะทั้งหมดของสมอง หรือเป็นการทำงานร่วมกันของสมองทั้ง 2 ซึก คือ สมองซีกซ้าย และสมองซีกขวา



สมองซีกซ้าย ทำหน้าที่ในการวิเคราะห์คำภาษา สัญลักษณ์ ระบบ ลำดับความเป็นเหตุเป็นผล ตรรกวิทยาฯ
สมองซีกขวา ทำหน้าที่สังเคราะห์ คิดสร้างสรรค์ จินตนาการ ความงาม ศิลปะ จังหวะ โดยมีเส้นประสาทส่วนหนึ่งเป็นตัวเชื่อมโยงสมองทั้งซีกซ้ายและขวา ให้ทำงานประสานกัน



วิธีการเขียนแผนที่ความคิด
แผนที่ความคิด ( Mind Map ) พัฒนาจากการจดบันทึกแบบเดิม ๆ ที่บันทึกเป็นตัวอักษร เป็นบรรทัด เป็นแถว โดยดินสอหรือปากกา มาเป็นการบันทึกเป็นคำ ภาพ สัญลักษณ์ แบบแผ่เป็นรัศมีออกรอบ ๆ ศูนย์กลางเหมือนการแตกแขนงของกิ่งไม้ โดยใช้สีสันให้น่าสนใจ



แผนที่ความคิด ( Mind Map ) ใช้ได้กับอะไรบ้าง
แผนที่ความคิด ( Mind Map ) นำไปใช้กับกิจกรรในชีวิตส่วนตัว และกิจกรรม ในการปฏิบัติงานทุกแขนงวิชา และอาชีพ เช่น ใช้ในการวางแผน การช่วยจำ การตัดสินใจ การแก้ปัญหา การนำเสนอ ฯลฯ



การเรียนรู้โดยใช้แผนที่ความคิด ( Mind Map )
การเรียนรู้วิชาต่าง ๆ ใช้แผนที่ความคิดช่วยในการศึกษาเล่าเรียนทุกวิชาได้เด็กเล็กจะเขียนแผนที่ความคิดได้ตามวัยของตน ส่วนในชั้นที่โตขึ้นความละเอียดซับซ้อนจะมากขึ้นตามเนื้อหา และวัยของตน แต่ไม่ว่าจะเป็นระดับชั้นใด แผนที่ความคิดก็ช่วยให้เกิดความคิดได้กว้างขวาง หลากหลาย ช่วยความจำ ช่วยให้งานต่าง ๆ มีความสมบูรณ์ ความคิดต่าง ๆ ไม่ขาดหายไป


ที่มา
http://www.arts.ac.th

วิธีสอนโดยใช้เกม

วิธีสอนโดยใช้เกม

ความหมาย ( ทิศนา แขมมณี 2543 : 81 – 85 )
วิธีสอนโดยใช้เกม เป็นวิธีการที่ช่วยให้ผู้เรียนได้เรียนรู้เรื่องต่าง ๆ อย่างสนุกสนานและท้าทายความสามารถ โดยผู้เรียนเป็นผู้เล่นเอง ทำให้ได้รับประสบการณ์ตรง เป็นวิธีการที่เปิดโอกาสให้ผู้เรียนมีส่วนร่วมสูง

ขั้นตอนสำคัญของการสอน
1. ผู้สอนนำเสนอเกม ชี้แจงวิธีการเล่น และกติกาการเล่น
2. ผู้เรียนเล่นเกมตามกติกา
3. ผู้สอนและผู้เรียนอภิปรายเกี่ยวกับผลการเล่นและวิธีการเล่นหรือพฤติกรรมการเล่นของผู้เรียน

เทคนิคและข้อเสนอแนะต่าง ๆ ในการใช้วิธีสอนโดยใช้เกมให้มีประสิทธิภาพ
การเลือกและการนำเสนอเกม

เกมที่นำมาใช้ในการสอนส่วนใหญ่จะเป็นเกมที่เรียกว่า “ เกมการศึกษา ” คือเป็นเกมที่มีวัตถุประสงค์ มุ่งให้ผู้เล่นเกิดการเรียนรู้ตามวัตถุประสงค์ มิใช่เพื่อความบันเทิงเป็นสำคัญมาใช้ในการสอน โดยนำมาเพิ่มขั้นตอนสำคัญคือการวิเคราะห์อภิปรายเพื่อการเรียนรู้ได้

การเลือกเกมเพื่อนำมาใช้สอนทำได้หลายวิธี ผู้สอนอาจเป็นผู้สร้างเกมขึ้นให้เหมาะกับวัตถุประสงค์ของการสอนของตนก็ได้ หรืออาจนำเกมที่มีผู้สร้างขึ้นแล้วมาปรับคัดแปลงให้เหมาะกับวัตถุประสงค์ตรงกับความต้องการของตน แล้วนำไปใช้สอนเลยก็ได้ หากผู้สอนต้องการสร้างเกมขึ้นใช้เอง ผู้สอนจำเป็นต้องมีความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับวิธีสร้างและจะต้องทดลองใช้เกมที่สร้างหลาย ๆ ครั้ง จนกระทั่งแน่ใจว่าสามารถใช้ได้ผลดีตามวัตถุประสงค์ หากเป็นการคัดแปลง ผู้สอนจำเป็นต้องศึกษาเกมนั้นให้เข้าใจ แล้วจึงคัดแปลงและทดลองใช้ก่อนเช่นกัน สำหรับการนำเกมการศึกษามาใช้เลยนั้น ผู้สอนจำเป็นต้องศึกษาเกมนั้นให้เข้าใจและลอง เล่นเกมนั้นก่อน เพื่อจะได้เห็นประเด็นและข้อขัดข้องต่าง ๆ

การชี้แจงวิธีการเล่น และกติกาการเล่น
เกมแต่ละเกมมีวิธีการเล่นและกติกาการเล่นที่มีความยุ่งยากซับซ้อนมากน้อยแตกต่างกัน แต่ถ้าเกมนั้นมีความซับซ้อนมาก ผู้สอนควรจัดลำดับขั้นตอนและให้รายละเอียดที่ชัดเจนโดยอาจต้องใช้สื่อเข้าช่วย และอาจให้ผู้เรียนซ้อมเล่นก่อนการเล่นจริง

การเล่นเกม
ก่อนการเล่น ผู้สอนควรจัดสถานที่ของการเล่นให้อยู่ในสภาพที่เอื้อต่อการเล่นอาจจะทำให้การเล่นเป็นไปอย่างติดขัด และเสียเวลา เสียอารมณ์ของผู้เล่นด้วย การเล่นควรเป็นไปตามลำดับขั้นตอน และในบางกรณีต้องควบคุมเวลาในการเล่นด้วย ในขณะที่ผู้เรียนกำลังเล่นเกม ผู้สอนควรติดตามสังเกตพฤติกรรมการเล่นของผู้เรียนอย่างใกล้ชิด และควรบันทึกข้อมูลที่จะเป็นประโยชน์ต่อการเรียนรู้ของผู้เรียนไว้ เพื่อนำไปใช้ในการอภิปรายหลังการเล่น

การอภิปรายหลังการเล่น
ขั้นตอนนี้เป็นขั้นที่สำคัญมาก หากขาดขั้นตอนนี้ การเล่นเกมก็คงไม่ใช่วิธีสอนเป็นเพียงการเล่นเกมธรรมดา ๆ จุดเน้นของเกมอยู่ที่การเรียนรู้ยุทธวิธีต่าง ๆ ที่จะเอาชนะอุปสรรคเพื่อจะไปให้ถึงเป้าหมาย ผู้สอนจำเป็นต้องเข้าใจว่า จุดเน้นของการใช้เกมในการสอนนั้น ก็เพื่อให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้ตามวัตถุประสงค์

การอภิปราย จึงควรมุ่งประเด็นไปตามวัตถุประสงค์ของการสอน ถ้าการใช้เกมนั้นมุ่งเพียงเป็นเครื่องมือฝึกทักษะให้ผู้เรียน การอภิปรายก็ควรมุ่งไปที่ทักษะนั้น ๆ แต่ถ้ามุ่งเนื้อหาสาระจากเกม ก็ควรอภิปรายในประเด็นที่ว่า ผู้เรียนได้เรียนรู้เนื้อหาสาระอะไรจากเกมบ้าง รู้ได้อย่างไร ด้วยวิธีใด มีความเข้าใจในเนื้อหาสาระนั้นอย่างไร ถ้ามุ่งการเรียนรู้ความเป็นจริงของสถานการณ์ ก็ควรอภิปรายในประเด็นที่ว่า ผู้เรียนได้เรียนรู้ความจริงอะไรบ้าง การเรียนรู้นั้นได้มาจากไหน และอย่างไร ผู้เรียนได้ตัดสินใจอะไรบ้าง ทำไม่จึงตัดสินใจเช่นนั้น
ข้อดีและข้อจำกัดของวิธีสอนโดยใช้เกม
ข้อดี

1. เป็นวิธีสอนที่ช่วยให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้ โดยการเห็นประจักษ์แจ้งด้วยตนเองทำให้การเรียนรู้นั้นมีความหมาย และอยู่คงทน
2. เป็นวิธีสอนที่ช่วยให้ผู้เรียนมีส่วนร่วมในการเรียนรู้สูง ผู้เรียนได้รับความสนุกสนาน และเกิดการเรียนรู้จากการเล่น
3. เป็นวิธีสอนที่ผู้สอนไม่เหนื่อยแรงมากขณะสอนและผู้เรียนชอบ

ข้อจำกัด
1. เป็นวิธีสอนที่ใช้เวลามาก
2. เป็นวิธีสอนที่ต้องอาศัยการเตรียมการมาก
3. เป็นวิธีสอนที่มีค่าใช้จ่าย

ที่มา
http://www.arts.ac.th

วิธีสอนโดยใช้กรณีตัวอย่าง

วิธีสอนโดยใช้กรณีตัวอย่าง

ความหมาย ( ทิศนา แขมมณี 2534 : 75 – 76 ) วิธีสอนโดยใช้กรณีตัวอย่าง เป็นวิธีการที่มุ่งช่วยให้ผู้เรียนฝึกฝนการเผชิญและแก้ปัญหาโดยไม่ต้องรอให้เกิดปัญหาจริง เป็นวิธีการที่เปิดโอกาสให้ผู้เรียนคิดวิเคราะห์และเรียนรู้ ความคิดขอผู้อื่น ช่วยให้ผู้เรียนมีมุมมองที่กว้างขึ้น

ขั้นตอนสำคัญของการสอน
1. ผู้สอน / ผู้เรียนนำเสนอกรณีตัวอย่าง
2. ผู้เรียนศึกษากรณีตัวอย่าง
3. ผู้เรียนอภิปรายประเด็นคำถามเพื่อหาคำตอบ
4. ผู้สอนและผู้เรียนอภิปรายคำตอบ
5. ผู้สอนและผู้เรียนอภิปรายเกี่ยวกับปัญหา วิธีแก้ปัญหาของผู้เรียน และสรุปการเรียนรู้ที่ได้รับ

เทคนิคและข้อเสนอแนะต่าง ๆ ในการใช้วิธีสอนโดยใช้กรณีตัวอย่างให้มีประสิทธิภาพ

การเตรียมการ
ก่อนการสอน ผู้สอนต้องเตรียมกรณีตัวอย่างให้พร้อม ต้องมีสาระซึ่งจะช่วยทำให้ ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้และมีลักษณะใกล้เคียงกับความเป็นจริง กรณีที่นำมาใช้ส่วนใหญ่มักเป็นเรื่องที่มี สถานการณ์ปัญหาขัดแย้ง ซึ่งจะช่วยกระตุ้นความคิดของผู้เรียน หากไม่มีสถานการณ์ที่เป็นปัญหาขัดแย้ง ผู้สอนอาจใช้วิธีการตั้งประเด็นคำถามที่ท้าทายให้ผู้เรียนคิดก็ได้ ผู้สอนอาจนำเรื่องจริงมาเขียนเป็นกรณีตัวอย่าง หรืออาจใช้เรื่องจากหนังสือพิมพ์ ข่าว และเหตุการณ์ รวมทั้งจากสื่อต่าง ๆ เช่น ภาพยนตร์ โทรทัศน์ เป็นได้กรณีที่ต้องการแล้ว ผู้สอนจะต้องเตรียมประเด็นคำถามสำหรับการอภิปรายเพื่อนำไปสู่การเรียนรู้ที่ต้องการ

การนำเสนอกรณีตัวอย่าง
ผู้สอนอาจเป็นผู้นำเสนอกรณีตัวอย่าง หรืออาจใช้เรื่องจริงจากผู้เรียนเป็นกรณีตัวอย่างก็ได้ วิธีการนำเสนอทำได้หลายวิธี เช่น การพิมพ์เป็นข้อมูลมาให้ผู้เรียนอ่าน การเล่ากรณีตัวอย่างให้ฟัง หรือนำเสนอโดยใช้สื่อ เล่น สไลด์ วีดิทัศน์ ภาพยนตร์ หรืออาจให้ผู้เรียนแสดงเป็นละครหรือบทบาทสมมติก็ได้

การศึกษากรณีตัวอย่างและการอภิปราย
ผู้สอนควรแบ่งผู้เรียนเป็นกลุ่มย่อยและให้เวลาอย่างเพียงพอในการศึกษากรณีตัวอย่างและคิดหาคำตอบ แล้วจึงร่วมกันอภิปรายเป็นกลุ่มและนำเสนอผลการอภิปรายระหว่างกลุ่มเป็นการแลกเปลี่ยนกัน ผู้สอนพึงตระหนักว่าการสอนโดยใช้กรณีตัวอย่าง มิได้มุ่งที่คำตอบใดคำตอบหนึ่ง ไม่มีคำตอบที่ถูกหรือผิดอย่างชัดเจนแน่นอน แต่ต้องการให้ผู้เรียนเห็นคำตอบและเหตุผลที่หลากหลาย ซึ่งจะช่วยให้ผู้เรียนมีความคิดที่กว้างขึ้น มองปัญหาในแง่มุมที่หลากหลายขึ้น อันจะช่วยให้การตัดสินใจมีความรอบคอบขึ้น ด้วยเหตุนกี้ ารอภิปรายจึงควรมุ่งความสนใจไปที่เหตุผลหรือที่มาของความคิดที่ผู้เรียนใช้ในการแก้ปัญหาเป็นสำคัญ

ข้อดีและข้อจำกัด
ข้อดี
1. เป็นวิธีสอนที่ช่วยให้ผู้เรียนได้เผชิญปัญหาที่เกิดขึ้นในสถานการณ์จริง
2. เป็นวิธีสอนที่ช่วยให้ผู้เรียนได้พัฒนาทักษะการคิดวิเคราะห์ การคิดอย่างมีวิจารณญาณ และการคิดแก้ปัญหา ช่วยให้ผู้เรียนมีมุมมองที่กว้างขึ้น
3. เป็นวิธีสอนที่ส่งเสริมปฏิสัมพันธ์ระหว่างผู้เรียน และส่งเสริมการเรียนรู้จากกันและกัน

ข้อจำกัด
หากกลุ่มผู้เรียนมีความรู้และประสบการณ์ไม่แตกต่างกัน การเรียนรู้อาจไม่กว้างเท่าที่ควร เพราะผู้เรียนมักมีมุมมองคล้ายกัน

ที่มา
http://www.arts.ac.th

เทคนิคการอภิปรายแบบอ่างปลา

เทคนิคการอภิปรายแบบอ่างปลา

ความหมาย
เทคนิคการอภิปรายแบบอ่างปลา เป็นการแบ่งกลุ่มผู้เรียนออกเป็น 2 กลุ่ม นั่งเป็นวงกลม 2 วงซ้อน กลุ่มวงในจะมีจำนวน 5 – 10 คน จะไม่มากนัก กลุ่มวงนอกจะมีจำนวนมากกว่ากลุ่มวงใน หรือบางครั้งอาจเท่ากันหรือน้อยกว่าก็ได้

กลุ่มใน จะนั่งเป็นวงกลม คนในกลุ่มประมาณ 5 – 10 คน กลุ่มนี้จะได้รับมอบหมายงานจากผู้สอนให้ทำกิจกรรมใดกิจกรรมหนึ่ง

กลุ่มนอก จะนั่งล้อมรอบกลุ่มวงใน ในระยะที่ไม่ห่างมากนัก (ดังภาพ) สมาชิกกลุ่มนี้มีหน้าที่เป็นผู้คอยรับฟัง ข้อมูลที่กลุ่มวงในอภิปรายกัน หรือเป็นผู้ที่คอยสังเกตพฤติกรรมของกลุ่มใน เมื่อการอภิปรายยุติลง กลุ่มนี้จะเป็นผู้ให้ข้อคิดเห็นหรือข้อวิเคราะห์กลุ่มในว่า จากการสังเกตได้เห็น/ ฟัง/พบ อะไรบ้าง

หมายเหตุ ทั้งกลุ่มนอกและกลุ่มในอาจจะสลับบทบาทกันคนละรอบก็ได้ เพื่อว่าผู้เรียนจะได้ เรียนรู้เท่า ๆ กัน
ขั้นตอนการสอน
1. ผู้สอนแบ่งผู้เรียนเป็นสองกลุ่ม ให้จัดที่นั่งเป็นวงกลม 2 วงซ้อนกันและผู้สอนมอบหัวข้อเรื่องให้กลุ่มอภิปราย
2. กลุ่มในจะดำเนินการประชุม โดยจะเลือกผู้นำกลุ่ม และเลขากลุ่ม ส่วนกลุ่มนอกจะสังเกตการณ์ และเก็บข้อมูลไว้
3. ระหว่างการอภิปรายกลุ่ม ผู้สอนจะต้องให้คำแนะนำและช่วยเหลือเมื่อกลุ่มต้องการ
4. เมื่อกลุ่มในได้อภิปรายเรื่องที่ผู้สอนมอบหมายให้เสร็จแล้ว ผู้สอนให้ตัวแทนมารายงานสรุปผลการอภิปราย
5. หลังจากนั้นกลุ่มนอกซึ่งสังเกตการณ์อยู่จะรายงานผลการสังเกตและการทำงานของกลุ่ม
6. ผู้สอนถามความคิดเห็นของผู้เรียนทั้งกลุ่มในและกลุ่มนอกพร้อมทั้งวิเคราะห์เพิ่มเติม สรุป

ที่มา
http://www.arts.ac.th

วิธีสอนแบบโครงการ ( Project Method )

วิธีสอนแบบโครงการ ( Project Method )

ความหมาย
วิธีสอนแบบโครงการ เป็นการสอนที่ให้นักเรียนเป็นหมู่หรือรายบุคคลได้วางโครงการและดำเนินงานให้สำเร็จตามโครงการนั้น นับว่าเป็นการสอนที่สอดคล้องกับสภาพชีวิตจริงเด็กจะทำงานนี้ด้วยการตั้งปัญหา ดำเนินการแก้ปัญหาด้วยการลงมือทำจริง เช่น โครงการรักษาความสะอาดของห้องเรียน

ความมุ่งหมาย
1. เพื่อให้นักเรียนได้ฝึกที่จะรับผิดชอบในการทำงานต่าง ๆ
2. เพื่อให้นักเรียนฝึกแก้ปัญหาด้วยการใช้ความคิด
3. เพื่อฝึกดำเนินงานตามความมุ่งหมายที่ตั้งไว้

ขั้นตอนในการสอน
1. ขั้นกำหนดความมุ่งหมาย เป็นขั้นกำหนดความหมายและลักษณะโครงการโดยตัวนักเรียน ครูจะเป็นผู้ชี้แนะให้นักเรียนตั้งความมุ่งหมายของการเรียนว่าเราจะเรียนเพื่ออะไร

2. ขั้นวางแผนหรือวางโครงการ เป็นขั้นที่มีคุณค่าต่อนักเรียนเป็นอย่างมาก คือนักเรียนจะช่วยกันวางแผนว่าทำอย่างไรจึงจะบรรลุถึงจุดมุ่งหมาย จะใช้วิธีการใดในการทำกิจกรรม แล้วจึงทำกิจกรรมที่เหมาะสม

3. ขั้นดำเนินการ เป็นขั้นลงมือกระทำกิจกรรมหรือลงมือแก้ปัญหา นักเรียนเริ่มงานตามแผนโดยทำกิจกรรมตามที่ตกลงใจแล้ว ครูคอยส่งเสริมให้นักเรียนได้กระทำตามความมุ่งหมายที่กำหนดไว้ ให้นักเรียนคิดและตัดสินใจด้วยตนเองให้มากที่สุดและควรชี้แนะให้นักเรียนรู้จักวัดผลการทำงานเป็นระยะ ๆ เพื่อการทำกิจกรรมจะได้ลุล่วงไปด้วยดี

4. ขั้นประเมินผล หรืออาจเรียกว่า ขั้นสอบสวนพิจารณานักเรียน ทำการประเมินผลว่ากิจกรรม หรือโครงการที่ทำนั้นบรรลุตามความมุ่งหมายที่ตั้งไว้ หรือไม่มีข้อบกพร่องอย่างไรและควรแก้ไขให้ดีขึ้นอย่างไร

ข้อดีและข้อจำกัด
ข้อดี

1. นักเรียนมีความสนใจเพราะได้ลงมือปฏิบัติจริง ๆ
2. ส่งเสริมความคิดสร้างสรรค์ และการทำงานอย่างมีแผน และให้รู้จักประเมินผลงานของตนเอง

ที่มา
http://www.arts.ac.th

วิธีสอนแบบสาธิต ( Demonstration Method )

วิธีสอนแบบสาธิต ( Demonstration Method )

ความหมาย
หมายถึงวิธีสอนที่ครูมีหน้าที่ในการวางแผนการเรียนการสอนเป็นส่วนใหญ่ โดยมีการแสดงหรือการกระทำให้ดูเป็นตัวอย่าง นักเรียนจะเกิดการเรียนรู้จากการสังเกต การฟัง การกระทำ หรือการแสดง และอาจเปิดโอกาสให้นักเรียนเข้ามามีส่วนร่วมบ้าง

ความมุ่งหมาย
1. เพื่อกระตุ้นความสนใจให้นักเรียนมีความสนใจในบทเรียนยิ่งขึ้น
2. เพื่อช่วยในการอธิบายเนื้อหาที่ยาก ซึ่งต้องใช้เวลามาก ให้เข้าใจง่ายขึ้น และประหยัดเวลา บางเนื้อหาอาจจะอธิบายให้นักเรียนเข้าใจได้ยาก การสาธิตจะทำให้นักเรียนได้เห็นขั้นตอนและเกิดความเข้าใจง่าย
3. เพื่อพัฒนาการฟังการสังเกตและการสรุปทำความเข้าใจในการสอน โดยใช้วิธีสาธิต นักเรียนจะฟังคำอธิบายควบคู่ไปด้วย และต้องสังเกตขั้นตอนต่าง ๆ ตลอดจนผลที่ได้จากการสาธิตแล้วจึงสรุปผลของการสาธิต
4. เพื่อแสดงวิธีการหรือกลวิธีในการปฏิบัติงาน ซึ่งไม่สามารถอธิบายได้ด้วยคำพูด เช่น การทำกิจกรรมในวิชาคหกรรม ศิลป ฯลฯ
5. เพื่อสรุปประเมินผลความเข้าใจในบทเรียน
6. เพื่อใช้ทบทวนผลความเข้าใจในบทเรียน

ขั้นตอนในการสอน
1. กำหนดจุดมุ่งหมายของการสาธิตให้ชัดเจน และต้องสาธิตให้เหมาะสมกับเนื้อเรื่อง
2. เตรียมอุปกรณ์ในการสาธิตให้พร้อม และตรวจสอบความสมบูรณ์ของอุปกรณ์
3. เตรียมกระบวนการสาธิต เช่น กำหนดเวลาและขั้นตอน จะเริ่มต้นดำเนินการและจบลงอย่างไร ผู้สาธิตต้องเข้าใจในขั้นตอนต่าง ๆ เหล่านี้อย่างละเอียดแจ่มแจ้ง
4. ทดลองสาธิตก่อนสอน ควรทดลองสาธิตเพื่อตรวจสอบความพร้อมตลอดจนผลที่จะเกิดขึ้น เพื่อป้องกันข้อผิดพลาดในเวลาสอน
5. ต้องจัดทำคู่มือคำแนะนำหรือข้อสังเกตในการสาธิต เพื่อที่นักเรียนจะใช้ประกอบในขณะที่มีการสาธิต
6. เมื่อสาธิตเสร็จสิ้นแล้ว นักเรียนควรได้ทำการสาธิตซ้ำอีก เพื่อเน้นให้เกิดความเข้าใจดีขึ้น
7. จัดเตรียมกิจกรรมหลังจากการสาธิตเพื่อให้นักเรียนเห็นคุณค่าหรือประโยชน์ของการสาธิตนั้น ๆ
8. ประเมินผลการสาธิต โดยพิจารณาจากพฤติกรรมของนักเรียนและผลของการเรียนรู้ การประเมินผลควรมีกิจกรรมหรือเครื่องมือ เช่น การทดสอบ การให้แสดงความคิดเห็นหรือการอภิปรายประกอบ

ที่มา
http://www.arts.ac.th

วิธีสอนโดยใช้สถานการณ์จำลอง ( Simulation )

วิธีสอนโดยใช้สถานการณ์จำลอง ( Simulation )

วิธีสอนโดยใช้สถานการณ์จำลอง หมายถึง วิธีสอนที่จำลองสถานการณ์จริงมาไว้ในชั้นเรียน โดยพยายามทำให้เหมือจริงที่สุด มีการกำหนดกติกาหรือเงื่อนไข แล้วแบ่งผู้เรียนเป็นกลุ่มให้ เข้าไปเล่นในสถานการณ์จำลองนั้น ๆ ด้วยกิจกรรมนี้ผู้เรียนจะเกิดการเรียนรู้จากการเผชิญกับปัญหา จะต้องมีการตัดสินใจและใช้ไหวพริบ

วัตถุประสงค์ ให้ผู้เรียนได้เข้าไปมีปฏิสัมพันธ์กับสถานการณ์จนเกิดความเข้าใจ

ลักษณะสำคัญ สถานการณ์ที่จำลองขึ้นต้องใกล้เคียงกับความเป็นจริง ผู้เรียนได้เข้าไปมีปฏิสัมพันธ์กับสถานการณ์ ทำการตัดสินใจแก้ปัญหาต่าง ๆ ซึ่งการตัดสินใจจะส่งผลถึงผู้เรียนในลักษณะเดียวกับที่เกิดขึ้นในสถานการณ์จริง

ขั้นตอนการสอน
1. ขั้นเตรียม ผู้สอนจัดเตรียมสถานการณ์โดยกำหนดจุดมุ่งหมายของการสอนแล้วเลือกรูปแบบและขั้นตอนที่เหมาะสม เขียนเนื้อหารายละเอียดและอุปกรณ์ที่ต้องใช้

2. ขั้นดำเนินการ ผู้สอนอธิบายบทบาทหรือกติกา วิธีการเล่น วิธีการให้คะแนนและ ทำการแบ่งกลุ่มผู้เรียน ผู้เรียนปฏิบัติกิจกรรมที่กำหนด โดยมีผู้สอนให้คำแนะนำและดูแลการเล่น ผู้สอนทำการสังเกต จดบันทึก และให้คะแนนผู้เรียนเป็นรายบุคคล

3. ขั้นสรุป ผู้สอนจะช่วยสรุปด้วยการวิเคราะห์กระบวนการ เปรียบเทียบบทเรียนจากสถานการณ์จำลองกับโลกแห่งความเป็นจริง หรือเชื่อมโยงกิจกรรมที่ปฏิบัติไปแล้วกับเนื้อหาวิชาที่เรียน

ข้อควรคำนึง
1. ถ้าผู้สอนขาดความรู้ในการสร้างสถานการณ์จำลอง อาจสร้างผิดไปจากจุดมุ่งหมายได้
2. สถานการณ์จำลองที่ยากเกินไปจะทำให้ผู้เรียนไม่เข้าใจ
3. เป็นการยากที่จะประเมินผู้เรียนแต่ละคน

ที่มา
http://www.arts.ac.th/

วิธีการสอนโดยการลงมือปฏิบัติ ( Practice )

วิธีการสอนโดยการลงมือปฏิบัติ ( Practice )

วิธีการสอนโดยการลงมือปฏิบัติ หมายถึง วิธีสอนที่ให้ประสบการณ์ตรงกับผู้เรียน โดยการให้ลงมือปฏิบัติจริง เป็นการสอนที่มุ่งให้เกิดการผสมผสานระหว่างทฤษฎีและ ภาคปฏิบัติ

วิธีปฏิบัติ ให้ผู้เรียนได้ลงมือฝึกฝนหรือปฏิบัติจริง

ลักษณะสำคัญ การลงมือปฏิบัติมักดำเนินการภายหลังการสาธิต การทดลองหรือการบรรยาย เป็นการฝึกฝนความรู้ความเข้าใจจากทฤษฎีที่เรียนมาโดยเน้นการฝึกทักษะ

ขั้นตอนการสอน
1. ขั้นเตรียม ผู้สอนกำหนดจุดมุ่งหมายของการฝึกปฏิบัติ รายละเอียดของขั้นตอนการทำงาน เตรียมสื่อต่าง ๆ เช่น วัสดุอุปกรณ์ เครื่องมือใบงานหรือคู่มือการปฏิบัติงาน
2. ขั้นดำเนินการ ผู้สอนให้ความรู้และทักษะที่เป็นพื้นฐานในการปฏิบัติ มอบหมายงานที่ปฏิบัติเป็นกลุ่มหรือรายบุคคล กำหนดหัวข้อการรายงาน หรือการบันทึกผลการปฏิบัติงานของผู้เรียน
3. ขั้นสรุป ผู้สอนและผู้เรียน ช่วยกันสรุปกิจกรรมการปฏิบัติงาน
4. ขั้นประเมินผล สังเกตพฤติกรรมของผู้เรียน เช่น ความสนใจ ความร่วมมือ ความเป็นระเบียบ การประหยัด การใช้และการเก็บรักษาเครื่องมือ และการตรวจผลงาน เช่น คุณภาพของงาน ความริเริ่ม ความประณีตสวยงาม

ข้อควรคำนึง ต้องใช้วัสดุอุปกรณ์ และเครื่องมือจำนวนมาก และมีคุณภาพ

ที่มา
http://www.arts.ac.th/

เทคนิคการสอนแบบระดมพลังสมอง ( Brainstorming )

เทคนิคการสอนแบบระดมพลังสมอง ( Brainstorming )

ความหมาย

หมายถึง วิธีสอนที่ใช้ในการอภิปรายโดยทันที ไม่มีใครกระตุ้น กลุ่มผู้เรียนเพื่อหาคำตอบหรือทางเลือกสำหรับปัญหาที่กำหนดอย่างรวดเร็ว ในระยะเวลาสั้นโดยในขณะนั้นจะไม่มีการตัดสินว่า คำตอบหรือทางเลือกใดดีหรือไม่อย่างไร

ลักษณะสำคัญ
ผู้เรียนแบ่งเป็นกลุ่มเล็ก ๆ ช่วยกันคิดหาคำตอบหรือทางเลือกสำหรับปัญหาที่กำหนดให้มากที่สุดและเร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้ แล้วช่วยกันพิจารณาเลือกทางเลือกที่ดีที่สุด ซึ่งอาจมีมากกว่าหนึ่งทาง

ขั้นตอนในการระดมสมอง
1. กำหนดปัญหา
2. แบ่งกลุ่มผู้เรียน และอาจเลือกประธานหรือเลขา เพื่อช่วยในการอภิปรายและบันทึกผล
3. สมาชิกทุกคนในกลุ่มช่วยกันคิดหาคำตอบหรือทางเลือกสำหรับปัญหาที่กำหนดให้มากที่สุดภายในเวลาที่กำหนด โดยปัญหาของแต่ละกลุ่มอาจเป็นปัญหาเดียวกันหรือต่างกันก็ได้
4. คัดเลือกเฉพาะทางเลือกที่น่าจะเป็นไปได้ หรือเหมาะสมที่สุด
5. แต่ละกลุ่มนำเสนอผลงานของตน ( ข้อ 4 และ 5 อาจสลับกันได้ )
6. อภิปรายและสรุปผล

ข้อดีและข้อจำกัด
ข้อดี

1. ฝึกกระบวนการแก้ปัญหาและมีคุณค่ามากที่จะใช้เพื่อแก้ปัญหาหนึ่ง
2. ก่อให้เกิดแรงจูงใจในตัวผู้เรียนสูง และฝึกการยอมรับความเห็นที่แตกต่างกัน
3. ได้คำตอบหรือทางเลือกได้มาก ภายในเวลาอันสั้น
4. ส่งเสริมการร่วมมือกัน
5. ประหยัดค่าใช้จ่ายและการจัดหาสื่อเพิ่มเติมอื่น ๆ

ข้อจำกัด
1. ประเมินผลผู้เรียนแต่ละคนได้ยาก
2. อาจมีนักเรียนส่วนน้อยเพียงไม่กี่คนครอบครองการอภิปรายส่วนใหญ่
3. เสียงมักจะดังรบกวนห้องเรียนข้างเคียง
4. ถ้าผู้จดบันทึกทำงานได้ช้า การคิดอย่างอิสระก็จะช้าและจำกัดตามไปด้วย
5. หัวเรื่องต้องชัดเจน รัดกุม และมีประธานที่มีความสามารถในการดำเนินการและสรุปการอภิปราย ทั้งในกลุ่มย่อย และรวมทั้งชั้น

ที่มา
http://www.arts.ac.th/

เทคนิคการสอนแบบนิรนัย ( Deductive Method )

เทคนิคการสอนแบบนิรนัย ( Deductive Method )

ความหมาย
วิธีสอนแบบนี้ เป็นการสอนที่เริ่มจากฎ หรือ หลักการต่าง ๆ แล้วให้นักเรียนหาหลักฐานเหตุผลมาพิสูจน์ยืนยัน วิธีการสอนแบบนี้ฝึกหัดให้นักเรียนเป็นคนมีเหตุมีผล ไม่เชื่ออะไรง่าย ๆ จนกว่าจะพิสูจน์ให้เห็นจริงเสียก่อน

ความมุ่งหมายของวิธีการสอนแบบนิรนัย
ให้นักเรียนรู้จักใช้กฎ สูตร และหลักเกณฑ์ต่าง ๆ มาช่วยในการแก้ปัญหา ไม่ตัดสินใจในการทำงานอย่างง่าย ๆ จนกว่าจะพิสูจน์ให้ทราบข้อเท็จจริงเสียก่อน

ขั้นตอนในการสอนแบบนิรนัย
1. ขั้นอธิบายปัญหา ระบุสิ่งที่จะสอนในแง่ของปัญหา เพื่อยั่วยุให้นักเรียนเกิดความสนใจที่จะหาคำตอบ ( เช่น เราจะหาพื้นที่ของวงกลมอย่างไร ) ปัญหาจะต้องเกี่ยวข้อกับสถานการณ์จริงของชีวิต และเหมาะสมกับวุฒิภาวะของเด็ก

2. ขั้นอธิบายข้อสรุป ได้แก่ การนำเอาข้อสรุปกฎหรือนิยามมากกว่า 1 อย่างมาอธิบาย เพื่อให้นักเรียนได้เลือกใช้ในการแก้ปัญหา

3. ขั้นตกลงใจ เป็นขั้นที่นักเรียนจะเลือกข้อสรุป กฎหรือนิยาม ที่จะนำมาใช้ในการแก้ปัญหา

4. ขั้นพิสูจน์ หรืออาจเรียกว่าขั้นตรวจสอบ เป็นขั้นที่สรุปกฎ หรือ นิยามว่าเป็นความจริงหรือไม่ โดยการปรึกษาครู ค้นคว้าจากตำราต่าง ๆ และจากการทดลองข้อสรุปที่ได้พิสูจน์ว่าเป็นความจริงจึงจะเป็นความรู้ที่ถูกต้อง

ข้อดีและข้อจำกัด
ข้อดี

1. วิธีสอนแบบนี้เหมาะสมที่จะใช้สอนเนื้อหาวิชาง่าย ๆ หรือหลักเกณฑ์ต่าง ๆ จะสามารถอธิบายให้นักเรียนเข้าใจความหมายได้ดี และเป็นวิธีสอนที่ง่ายกว่าสอนแบบอุปนัย

2. ฝึกให้เป็นคนมีเหตุผล ไม่เชื่ออะไรง่าย ๆ โดยไม่มีการพิสูจน์ให้เห็นจริง

ข้อจำกัด
1. วิธีสอนแบบนิรนัยที่จะใช้สอนได้เฉพาะบางเนื้อหา ไม่ส่งเสริมคุณค่าในการแสวงหาความรู้และคุณค่าทางอารมณ์

2. เป็นการสอนที่นักเรียนไม่ได้เกิดความคิดรวบยอดด้วยตนเอง เพราะครูกำหนดความคิดรวบยอดให้


ที่มา
http://www.arts.ac.th/

เทคนิคการสอนแบบอุปนัย ( Inductive Method )

เทคนิคการสอนแบบอุปนัย ( Inductive Method )

ความหมาย วิธีสอนแบบอุปนัย
เป็นการสอนจากรายละเอียดปลีกย่อยไปหากฎเกณฑ์ กล่าวคือ เป็นการสอนแบบย่อยไปหาส่วนรวมหรือสอนจากตัวอย่างไปหากฎเกณฑ์ หลักการ ข้อเท็จจริง หรือข้อสรุป โดยการให้นักเรียนทำการศึกษา สังเกต ทดลอง เปรียบเทียบ แล้วพิจารณาค้นหาองค์ประกอบที่เหมือนกันหรือคล้ายคลึงกันจากตัวอย่างต่าง ๆ เพื่อนำมาเป็นข้อสรุป

ความมุ่งหมายและวิธีสอนแบบอุปนัย
เพื่อช่วยให้นักเรียนได้ค้นพบกฎเกณฑ์หรือความจริงที่สำคัญ ๆ ด้วยตนเองกับให้เข้าใจความหมายและความสัมพันธ์ของความคิด ต่าง ๆ อย่างแจ่มแจ้ง ตลอดจนกระตุ้นให้นักเรียนรู้จักการทำการสอบสวนค้นคว้าหาความรู้ด้วยตนเอง

ขั้นตอนในการสอนแบบอุปนัย
1. ขั้นเตรียม คือ การเตรียมตัวนักเรียน เป็นการทบทวนความรู้เดิม กำหนด จุดมุ่งหมาย และอธิบายความมุ่งหมายให้นักเรียนได้เข้าใจอย่างแจ่มแจ้ง

2. ขั้นสอนหรือขั้นแสดง คือ การเสนอตัวอย่างหรือกรณีต่าง ๆ ให้นักเรียนได้พิจารณา เพื่อให้นักเรียนสามารถเปรียบเทียบ สรุปกฎเกณฑ์ได้ การเสนอตัวอย่าง ควรเสนอหลายๆ ตัวอย่างให้มากพอที่จะสรุปกฎเกณฑ์ได้ ไม่ควรเสนอเพียงตัวอย่างเดียว

3. ขั้นเปรียบเทียบและรวบรวม เป็นขั้นหาองค์ประกอบรวม คือ การที่นักเรียนได้มีโอกาสพิจารณาความคล้ายคลึงกันขององค์ประกอบในตัวอย่างเพื่อเตรียมสรุปกฎเกณฑ์ไม่ควรรีบร้อนหรือเร่งเร้าเด็กเกินไป

4. ขั้นสรุป คือ การนำข้อสังเกตต่าง ๆ จากตัวอย่างมาสรุปเป็นกฎเกณฑ์ นินามหลักการ หรือสูตร ด้วยตัวนักเรียนเอง

5. ขั้นนำไปใช้ คือ ขั้นทดลองความเข้าใจของนักเรียนเกี่ยวกับกฎเกณฑ์หรือข้อสรุปที่ได้มาแล้วว่าสามารถที่จะนำไปใช้ในปัญหาหรือแบบฝึกหัดอื่น ๆ ได้หรือไม่

ข้อดีและข้อจำกัด
ข้อดี

1. จะทำให้นักเรียนเข้าใจได้อย่างแจ่มแจ้งและจำได้นาน
2. ฝึกให้นักเรียนรู้จักคิดตามหลักตรรกศาสตร์ และหลักวิทยาศาสตร์
3. ให้นักเรียนเข้าใจวิธีการในการแก้ปัญหา และรู้จักวิธีทำงานที่ถูกต้องตามหลักจิตวิทยา

ข้อจำกัด
1. ไม่เหมาะสมที่จะใช้สอนวิชาที่มีคุณค่าทางสุนทรียะ
2. ใช้เวลามาก อาจทำให้เด็กเกิดความเบื่อหน่าย
3. ทำให้บรรยากาศการเรียนเป็นทางการเกินไป
4. ครูต้องเข้าใจในเทคนิควิธีสอนแบบนี้อย่างดี จึงจะได้ผลสัมฤทธิ์ในการสอน

ที่มา
http://www.arts.ac.th/

เทคนิคการสอนแบบทำงานรับผิดชอบร่วมกัน ( Co – operative Leanning )

เทคนิคการสอนแบบทำงานรับผิดชอบร่วมกัน (Co–operative Leanning)

ความหมาย
เป็นการจัดประสบการณ์เรียนรู้ที่ผู้เรียนทำงานร่วมกันและช่วยเหลือกันในชั้นเรียน ซึ่งจะสร้างบรรยากาศที่ดีในชั้นเรียน และยังเพิ่มปฏิสัมพันธ์ที่ยอมรับซึ่งกันและกันสร้างความภาคภูมิใจให้ผู้เรียนทุกคน นอกจากนี้ยังเพิ่มผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนอีกด้วย เพราะในชั้นเรียนมีความร่วมมือ ผู้เรียนจะได้ฟัง เขียน อ่าน ทวนความ อธิบาย และปฏิสัมพันธ์ ผู้เรียนจะเรียนด้วยการลงมือกระทำ ผู้เรียนที่มีจุดบกพร่องจะได้รับการช่วยเหลือจากเพื่อนในกลุ่ม

ความมุ่งหมายของการสอน
ความมุ่งหมายของการเรียนแบบทำงาน รับผิดชอบร่วมกัน คือ การให้สมาชิกทุกคนใช้ความสามารถอย่างเต็มที่ในการทำงานกลุ่ม โดยยังคงรักษาสัมพันธภาพที่ดีต่อสมาชิกกลุ่ม ในการเรียนเป็นกลุ่มแบบเดิมนั้น จุดมุ่งหมายอยู่ที่การทำงานให้สำเร็จเท่านั้น

ขั้นตอนการสอน
มี 5 ชั้น ดังนี้

1. แนะนำ ด้วยการบอกว่าชั้นเรียนแบ่งเป็นกี่กลุ่ม กลุ่มละกี่คน สมาชิกแต่ละคนต้องรับผิดชอบที่จะเรียนเกี่ยวกับหัวข้อที่กลุ่มได้รับให้ได้มากที่สุด แต่ละกลุ่มเป็นผู้เชี่ยวชาญในหัวข้อนั้น มีหน้าที่จะสอนกลุ่มอื่น ๆ ดัวย ทุกคนจะได้รับเกรดรายบุคคล และเป็นกลุ่ม

2. แบ่งกลุ่มให้คละกัน แล้วให้กลุ่มตั้งชื่อกลุ่ม เขียนชื่อกลุ่ม และสมาชิกบนป้ายนิเทศ ผู้สอนแจ้งกฎเกณฑ์ที่ต้องปฏิบัติระหว่างการประชุมกลุ่ม
ก. ห้ามคนใดออกจากกลุ่มก่อนที่จะเสร็จงานกลุ่ม
ข. แต่ละคนในกลุ่มต้องรับผิดชอบที่จะให้สมาชิกทุกคนเข้าใจและทำงานให้เสร็จสมบูรณ์
ค. ถ้าผู้เรียนคนใดไม่เข้าใจเรื่องใด ต้องขอความช่วยเหลือจากเพื่อนในกลุ่มก่อนที่จะถามผู้สอน

3. สสร้างกลุ่มผู้เชี่ยวชาญ โดยผู้สอนแจกเอกสารหัวข้อต่าง ๆ ซึ่งภายในบรรจุด้วยเนื้อหา ถ้ามีกลุ่ม 6 กลุ่ม ผู้สอนต้องเตรียมเอกสาร 6 ชุด ผู้เรียนที่ได้รับหัวข้อเดียวกันจะศึกษาเรื่องนั้นด้วยกัน เมื่อทุกคนเข้าใจดีแล้ว ก็เตรียมตัววางแผนกการสอนเพื่อกลับไปสอนสมาชิกในกลุ่มเดิมของตน

4. ผู้เชี่ยวชาญสอนเพื่อนในกลุ่ม ทุกคนจะผลัดกันสอนเรื่องที่ไปศึกษามา ตรวจสอบความเข้าใจ และช่วยเพื่อนสมาชิกในการเรียน

5. ประเมินผลและให้คะแนนแต่ละคน ผู้สอนทำการทดสอบเพื่อดูว่าต้องสอนเพิ่มเติมหรือไม่ให้เกรด และคิดคะแนนกลุ่ม

ที่มา
http://www.arts.ac.th/tip_teach/technic_teach.pdf

คู่มือประเมินสมรรถครู

การประเมินสมรรถนะครู เป็นส่วนหนึ่งของโครงการยกระดับคุณภาพครูทั้งระบบ
(Upgrading Teacher Qualification Through the Whole System: UTQ) ของสำนักงานคณะกรรมการ

การศึกษาขั้นพื้นฐาน เป็นโครงการที่ได้รับงบประมาณภายใต้แผนปฏิบัติการไทยเข้มแข็ง 2555
แผนการสร้างโครงสร้างพื้นฐานทางปัญญา เพื่อสร้างครูที่มีคุณภาพตามนโยบายของรัฐบาลใน การที่จะพัฒนาครู เป็นครูดี มีคุณธรรม และมีวิทยฐานะสูงขึ้น

คู่มือการประเมินสมรรถนะครูเล่มนี้ จัดทำขึ้นเพื่อให้ผู้เกี่ยวข้องกับการดำเนินงาน
มีความเข้าใจตรงกัน สามารถดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องได้อย่างมีประสิทธิภาพ สำนักงาน
คณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน ขอขอบคุณผู้มีส่วนเกี่ยวข้องทุกฝ่าย และหวังเป็นอย่างยิ่งว่า การดำเนินการจะส่งผลในการพัฒนาคุณภาพครูโดยรวมต่อไป


สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน
กุมภาพันธ์ 2553



ดาวน์โหลดได้ที่นี่

http://personel.obec.go.th/ewtadmin/ewt/personal_obec/download/article/article_20100204133338.pdf

ไฟล์สำหรับดาวน์โหลด

ความรู้เบื้องต้นในการตัดต่อภาพยนตร์ โดยครูวรางคนา พระลับรักษา 2010-01-28

หลักเกณฑ์และวิธีให้ข้าราชการครูและบุคคลากรทางการศึกษามีวิทยฐานะ 2010-01-27

ตัวอย่าง รายงานผลการใช้แบบฝึกชุดพัฒนางานเกษตรด้วยตนเอง บทที่ 3 2010-01-16

ตัวอย่าง รายงานผลการใช้แบบฝึกชุดพัฒนางานเกษตรด้วยตนเอง บทที่ 2 2010-01-16

ตัวอย่าง รายงานผลการใช้แบบฝึกชุดพัฒนางานเกษตรด้วยตนเอง บทที่ 1 2010-01-16

ตัวอย่างการทำวิจัยชั้นเรียน ที่สามารถนำไปใช้จริงได้ในการทำผลงาน คศ3 2010-01-16

แผนการการเรียนรู้สาระสอนภาษาไทย ม.3 เพิ่มเติม 2010-01-15

แผนการสอนภาษาไทย ม.2 2010-01-15

แผนการสอนภาษาไทย ม.1 2010-01-15

ตัวอย่างแผนการสอนรายคาบและข้อเสนอแนะ 2010-01-15

แผนการจัดการเรียนรู้ กลุ่มการเรียนรู้ ภาษาไทย สาระ การอ่าน ชั้น ป.4 ภาคเรียนที่ 1 2010-01-15

แผนการสอนรายคาบ คาบที่ ๕ เรื่อง สมุนไพรไล่แมงในตู้เสื้อผ้า ผู้ดำเนินรายการ อ.นันทวัน กลิ่นจำปา 2010-01-15

คู่มือการปฏิบัติงานข้าราชการครู


***อ่านรายละเอียดทั้งหมด คลิก (เป็นไฟล์บีบอัด เมื่อดาวน์โหลดมาแล้วต้องทำการคลายไฟล์ด้วยโปรแกรม WinRAR จึงจะสามารถอ่านไฟล์ PDF ได้)


http://personel.obec.go.th/ewtadmin/ewt/personal_obec/download/article/article_20100401091504.rar

ว่าด้วยเรื่อง...เงินเดือนครู

มีคำกล่าวว่า “ครูเปรียบเสมือนเรือจ้าง” ทำงานหนัก เพื่อส่งลูกศิษย์ไปถึงฝั่งฝันที่งดงาม แต่ตนเองกลับได้สิ่งตอบแทนเพียงค่าแรงน้อยนิด

ปัญหาค่าตอบแทนสำหรับพ่อ พิมพ์-แม่พิมพ์ของชาติ ยังคงเป็นประเด็นอ่อนไหวไม่ว่าจะผ่านไปกี่ยุคกี่สมัย และไม่เพียงแต่ในประเทศไทยเท่านั้น แต่ประเทศมหาอำนาจอย่าง “สหรัฐอเมริกา” เอง ก็ยังหาทางลงกับเรื่องนี้ไม่ได้เช่นกัน

ล่าสุด สภานิติบัญญัติประจำ รัฐฟลอริดา กำลังผลักดันร่างรัฐบัญญัติสำคัญเกี่ยวกับการศึกษา ที่อาจสร้างความเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในประวัติศาสตร์ โดยร่างรัฐบัญญัติที่ว่านี้ มีสาระสำคัญกล่าวถึง เงินค่าตอบแทนครู ขนาดชั้นเรียน หลักประกัน และความต้องการในการสำเร็จการศึกษา

แต่ประเด็นที่ทำให้เส้น ทางการผลักดันร่างรัฐบัญญัติฉบับนี้ ไม่ได้โรยด้วยกลีบกุหลาบก็หนีไม่พ้น เรื่องค่าตอบแทนครู ซึ่งในกฎหมายระบุว่า ร้อยละ 50 ของเงินที่จะจ่ายให้กับครูตามโรงเรียนต่างๆ ในรัฐ ฟลอริดานั้น จะพิจารณาจาก ผลสัมฤทธิ์ทางการสอน ซึ่งมีผลสอบ เอฟแคต ของเด็กนักเรียนเป็นตัวชี้วัด ส่วนที่เหลือก็จะประเมินตาม มาตรฐานที่ตั้งไว้

สำหรับการสอบ “เอฟแคต” (FCAT : The Florida Comprehensive Assessment Test) คือการทดสอบมาตรฐานความรู้ทั่วไป ที่กำหนดให้นักเรียนชั้นประถมศึกษา และมัธยมศึกษา ตั้งแต่เกรด 3-11 ที่ศึกษาในโรงเรียนของรัฐต้องเข้าทดสอบ โดยกำหนดการสอบกันในช่วงปลายเดือน ก.พ.หรือต้นเดือน มี.ค.ของทุกปี ซึ่งการสอบวัดระดับเอฟแคตนี้ เพิ่งจะมีการนำมาใช้กันครั้งแรกในปี 2541

แทนที่การสอบ “เอสแซต” (SSAT: State Student Assessment Test ) และ “เอชเอสซีที” (High School Competency Test) โดยการผลการสอบเอฟแคต ของนักเรียนจะถูกนำมาเป็นข้อมูล ในการจัดอันดับโรงเรียนตั้งแต่ระดับ A ถึง F ตาม “แผนเอ พลัส” (A+Plan) ของ “นายเจ็บ บุช” อดีตผู้ว่าการรัฐฯ คนที่ 43

ทว่ากระแสตอบรับของการนำ ผลสอบเอฟแคต มาประเมินเงินเดือนครูดูเหมือนจะไม่เป็นที่น่าพอใจนัก โดย สหภาพครูประจำรัฐฟลอริดา ถึงกับออกมาตำหนิความคิดนี้ว่า “เป็นการทำร้ายครู” ชัดๆ

ขณะที่ “โจเอล เมลวิน” อาจารย์ ประจำวิชาประวัติศาสตร์สหรัฐฯ และเศรษฐศาสตร์ประจำโรงเรียนมัธยมเคลียร์วอเตอร์ ระบุว่า ความคิดดังกล่าวเป็นการก้าวที่ไกลเกินไป และเป็นสิ่งที่ไม่สามารถควบคุมได้

ด้าน วุฒิสมาชิกลาร์เซเนีย บัลลาร์ด จากไมอามี ผู้เคยเป็นอาจารย์มาก่อน ก็กล่าวว่า เขาคิดไม่ออกเลยจะรู้สึกอย่างไร หากต้องบอกนักเรียนของตัวเองว่า พวกเธอจะเป็นคนกำหนดเงินเดือนของครู

...กลับมาที่ครูไทย หากจะใช้คะแนนสอบอะไรสักอย่างของนักเรียนมากำหนดเงินเดือนเรือจ้างเหล่านี้ ก็เห็นทีคงจะสะกดคำว่า “ยุติธรรม”ได้ไม่เต็มปาก แต่ถึงอย่างไรก็ต้องหาวิธีสร้างสมดุลระหว่าง “จุดที่ต้องการ” กับ “จุดที่เหมาะสม” ให้ได้ ไม่เช่นนั้นแล้ววันข้างหน้าคงไม่มีใครคิดอยากจะเป็นครูอีก



ที่มา - สยามรัฐออนไลน์
http://www.siamrath.co.th/uifont/NewsDetail.aspx?cid=39&nid=59227

ก.พ.ปรับประเมินเงินเดือนใหม่ ยึดจ่ายตามผลงาน ลดภาวะเช้าชามเย็นชาม

ก.พ.ปรับระบบขึ้นเงินเดือนเป็น “ช่วง” จ่ายตามผลงานจริง ก.พ.ปรับระบบการประเมินผลงานเลื่อนเงินเดือนข้าราชการรูปแบบใหม่ จาก “ขั้น” เป็น “ช่วง” ชี้ ยึดหลักจ่ายค่าตอบแทนตามผลงาน อุดรั่วปัญหาภาวะการทำงานแบบเช้าชามเย็นชาม เริ่มใช้ 1 เม.ย.53 นี้ เลขา ก.พ.ระบุ ใครมีผลงานดี ต้องได้รับค่าตอบแทนดีเช่นกัน เชื่อจะทำให้ ขรก.มองภาพชัดขึ้นว่าผลงานตนเองพัฒนาองค์กรอย่างไร

นางเบญวรรณ สร่างนิทร เลขาธิการคณะกรรมการข้าราชการพลเรือน (ก.พ.) กล่าวว่า ก.พ.ได้กำหนดหลักเกณฑ์และวิธีการประเมินผลการปฎิบัติราชการของข้าราชการ พลเรือนสามัญแบบใหม่เพื่อเปลี่ยนแปลงโครงสร้างการเลื่อนเงินเดือนข้าราชการ โดยปรับเปลี่ยนจากบัญชีอัตราเงินเดือนแบบ “ขั้น” ไปเป็นบัญชีอัตราเงินเดือนแบบ “ช่วง” ซึ่งเป็นการขึ้นเงินเดือนโดยอาศัยหลัก “ร้อยละ” เป็นหลักยึดในการจ่ายค่าตอบแทนข้าราชการแบบใหม่

เลขาฯ ก.พ.อธิบายหลักเกณฑ์การขึ้นเงินเดือนข้าราชการแบบ “ช่วง” ว่า เป็นการกำหนดองค์ประกอบการประเมินผลการปฏิบัติงานอย่างน้อย 2 องค์ประกอบ คือ ผลสัมฤทธิ์ของงานและพฤติกรรมการปฏิบัติราชการ และองค์ประกอบอื่นๆ ส่วนราชการนั้นๆ สามารถตกลงกันเองเพื่อกำหนดเป็นองค์ประกอบเพิ่มเติมได้ แต่ทั้งนี้ ต้องมีสัดส่วนของผลสัมฤทธิ์ของงานไม่น้อยกว่า 70% จาก 100 และมีการกำหนดระดับผลการประเมินอย่างน้อย 5 ระดับ แต่หากส่วนราชการใดๆ เห็นสมควรว่าจะมีเพิ่มมากกว่า 5 ระดับก็สามารถทำได้ ซึ่งจุดนี้จะเป็นการเพิ่มแนวทางการยืดหยุ่นของกรอบมาตรฐานให้มีมากกว่าเดิม


ส่วนเกณฑ์การประเมินจากพฤติกรรมการทำงาน นางเบญจวรรณ ระบุว่า จะประเมินจากสมรรถนะ เช่น มีความตั้งใจและพยายามทำงานให้ดีตามที่ได้รับมอบหมายหรือไม่ บริการประชาชนด้วยไมตรีจิตหรือไม่ หรือทำงานด้วยความซื่อสัตย์สุจริตหรือไม่ ในขณะที่ในเกณฑ์ในเชิงปริมาณจะดูว่าทำได้มากน้อยเพียงใด คุณภาพของงานเป็นไปตามมาตรฐานหรือไม่ ตลอดจนเรื่องของความฉับไวในการทำงาน การลดขั้นตอนการทำงาน รวมถึงความคุ้มค่าของการใช้ทรัพยากรขององค์กรด้วย


สำหรับกระบวนการดังกล่าวจะเริ่มต้นตั้งแต่ต้นรอบการประเมินที่กำหนด ให้มีการประเมินปีละ 2 รอบ คือ รอบแรก 1 ต.ค.-31 มี.ค.และรอบสอง 1 เม.ย.-30 ก.ย.โดยมีผู้บังคับบัญชาและข้าราชการเริ่มต้นด้วยกัน ตั้งแต่การมอบหมายงาน ตกลงทำงานร่วมกันโดยมีตัวชี้วัดและเป้าหมายงาน เพื่อนำไปสู่การพัฒนาและสร้างผลสัมฤทธิ์ และเมื่อถึงปลายรอบ การประเมินก็จะประเมินผลงานจริงเทียบกับข้อตกลงที่ได้ตกลงกันตอนต้นรอบการ ประเมิน โดยจะเริ่มใช้ในเดือนเมษายน 53 ที่จะถึงนี้เลย


“การเปลี่ยนระบบเลื่อนเงินเดือนครั้งนี้ จะเป็นการเปลี่ยนการบริหารการจัดการในเรื่องของการประเมินและเป็นการกำหนด องค์ประกอบการประเมินผลงานให้มีความยืดหยุ่นต่อการนำไปปรับใช้ ซึ่งการกำหนดกรอบมาตรฐานที่เปิดแนวทางให้มีความยืดหยุ่น และให้อำนาจส่วนราชการสามารถกำหนดวิธีการประเมินได้จะเป็นการขยายแนวทาง และเชื่อว่า จะสามารถยกบทบาทผู้บังคับบัญชาการในการเลื่อนเงินเดือนข้าราชการระบบใหม่ให้ มีมากขึ้นกว่าเดิม ในฐานะผู้รับผิดชอบงาน และขับเคลื่อนการทำงานของส่วนราชการ ซึ่งผลการเลื่อนเงินเดือนนั้นจะขึ้นอยู่กับต้นทาง คือ ระบบการประเมินผลการปฏิบัติราชการ ซึ่งต้องสามารถวัดผลการปฏิบัติงานได้จริงและเป็นรูปธรรมมากขึ้น เพื่อให้เปอร์เซ็นต์เลื่อนเงินเดือนตรงกับการทำงาน การประเมินรูปแบบนี้ ตัวค่าตอบแทนแม้จะไม่ต่างจากเดิมมากเท่าไร แต่ข้าราชการและหน่วยงาน แต่ละคนจะเห็นภาพชัดเจนว่าการทำงานของตนส่งผลต่อความสำเร็จของส่วนราชการ อย่างไร ผลงานของตนมีผลกระทบต่อเป้าหมายและองค์กรอย่างไร รวมทั้งค่าตอบแทนสมน้ำสมเนื้อกับความทุ่มเทในงานหรือไม่ ทั้งการประเมินยังสามารถลดวิจารณญาณส่วนตัวของผู้ประเมิน หรือลดความเอนเอียงในการประเมินเพราะข้อตกลงเบื้องต้นร่วมกันระหว่างผู้ถูก ประเมิน ซึ่งคาดว่า น่าจะทำให้ข้าราชการที่จ่อจะได้สองขั้นมีขวัญและกำลังใจกับระบบการเลื่อน เงินเดือนใหม่”


ทั้งนี้ ผู้สื่อข่าวรายงานว่า จำนวนงบประมาณของการเลื่อนเงินครั้งนี้มีงบประมาณ 5,000 ล้านบาทต่อปี และได้รับการจัดสรรบริหารจัดการงบประมาณ คือ ร้อยละ 3 ของเงินเดือนราชการในแต่ละส่วนราชการ โดยเลขาธิการ ก.พ.กล่าวชี้แจงเพิ่มเติมว่า ผู้บังคับบัญชาสามารถบริหารจัดการงบประมาณเพื่อเลื่อนเงินเดือนตามผลงานของ ข้าราชการได้อย่างเต็มที่ โดยไม่ต้องคำนึงถึงโควตา จำนวนคน “ดีเด่น” ที่จากเดิมมีอยู่ร้อยละ 15 แต่ผู้มีผลงานดีเด่น จะมีโอกาสได้เลื่อนเงินเดือนเป็นร้อยละที่มากกว่าระบบเดิม โดยเลื่อนได้สูงสุดได้ถึงร้อยละ 6 ต่อรอบการประเมินระบบเดิมเลื่อนได้สูงสุด 1 ขั้น ประมาณร้อยละ 4 ต่อรอบการประเมิน ส่วนผู้ที่มีผลการปฏิบัติงานอยู่ในเกณฑ์ลดหลั่นกันลงมา ก็จะได้เลื่อนเงินเดือนเป็นอัตราร้อยละที่ถัดลงมาเช่นกัน และหากผู้มีผลงานดีเด่นได้เลื่อนเงินเดือนในอัตราที่น้อยลง ซึ่งจะมากน้อยเท่าใด ก็เป็นสิ่งที่ผู้บังคับบัญชาจะต้องบริหารจัดการให้เหมาะสม กับวงเงินงบประมาณที่ได้รับจัดสรร

“ผลที่จะเกิดอนาคต การทำงานของข้าราชการ จะพัฒนาในแนวทางที่ดีมากขึ้นเพราะมุ่งเน้น ที่ผลสำเร็จของการปฏิบัติงาน และขจัดคำที่ว่าราชการทำงานเช้าชามเย็นชามด้วยการเสริมแรงกระตุ้น และคาดหวังว่า ส่วนราชการน่าจะมีความแข็งแรงเคียงบ่าเคียงไหล่ไปกับภาคเอกชนอันจะนำมาซึ่ง การพัฒนาภาพรวมประเทศ” นางเบญจวรรณ สรุป



ที่มา - ผู้จัดการออนไลน์
http://www.manager.co.th/QOL/ViewNews.aspx?NewsID=9530000041976

ปัญหาร้องเรียนการประเมินวิทยฐานะ "ชำนาญการพิเศษ"




ปัญหาร้องเรียนการประเมินวิทยฐานะ "ชำนาญการพิเศษ"

สพฐ. ดีเดย์ประเมินความรู้ครู 7-8 เม.ย.53


สพฐ. ดีเดย์ประเมินความรู้ครู 7-8 เม.ย.53
- ตารางกำหนดการประเมินความรู้ครูผู้สอนระดับประถมศึกษา http://www.obec.go.th/fdownload/201042062044.pdf
- ตารางกำหนดการประเมินความรู้ครูผู้สอนระดับมัธยมศึกษา http://www.obec.go.th/store_files/201042062209.pdf
- เนื้อหาสำหรับทดสอบครูคณิตศาสตร์ ม.ปลาย http://www.obec.go.th/store_files/201042062233.pdf
- เนื้อหาสำหรับทดสอบครูคอมพิวเตอร์ ม.ปลาย http://www.obec.go.th/store_files/201042062246.pdf
- เนื้อหาสำหรับทดสอบครูเคมี ม.ปลาย
- เนื้อหาสำหรับทดสอบครูชีววิทยา ม.ปลาย
- เนื้อหาสำหรับทดสอบครูฟิสิกส์ ม.ปลาย
- เนื้อหาสำหรับทดสอบครูโลก ดาราศาสตร์ และอวกาศ ม.ปลาย http://hrd.obec.go.th/news/April/world.pdf

เลื่อนกำหนดการสอบบรรจุครู ครั้งที่ 1/2553